เอสซีจี ชี้ราคาน้ำมันกดดันต้นทุนพุ่งแล้ว 20% มองแนวโน้มตลาดโลกทะยานต่อเนื่อง - เสี่ยงทำสินค้าแพงขึ้นด้วย
เอสซีจีชี้ราคาน้ำมันยังแพง - นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี (SCG) เปิดเผยว่า ยอมรับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่สูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจ เห็นได้จากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 20% เนื่องจากแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และการเข้าสู่ฤดูหนาว ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ขณะที่ กำลังการผลิตจากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันยังค่อนข้างตึงตัว เพราะในช่วงที่ผ่านมาผู้ผลิตไม่ได้มีการลงทุนรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นแบบไม่คาดคิดในช่วงนี้ ผู้ผลิตจึงไม่น่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอกับตามความต้องการได้ทันต่อสถานกาณ์
“ส่วนตัวประเมินแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก ซึ่งย่อมส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย สะท้อนได้จากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอีกมุมหนึ่งถ้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่จบ แล้วจำเป็นต้องกลับมาล็อกดาวน์บางส่วน ก็จะกระทบต่อการผลิตและการขนส่งสินค้า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันราคาสินค้าแพงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นบริษัทจึงมีการบริหารจัดการลดต้นทุน แม้ราคาสินค้าจะปรับขึ้น แต่อยู่ในระดับที่เหมาะสม”
นอกจากนี้ มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการลงทุน การอุปโภคบริโภค และการจับจ่ายใช้สอยทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นค่อนข้างรวดเร็วตามกัน และมองว่าแรงส่งจากการฟื้นตัวที่ดีจะมีต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2565 แน่นอน
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า สำหรับงบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาส 3/2564 มีกำไรจากการดำเนินงานปกติลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11% จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค แต่หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวดลดลง 30% แม้รายได้จากการขาย 131,825 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 31% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะมีกำไรลดลงจากการปิดประเทศทั้งภูมิภาค ต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบสูงขึ้น แต่สถานะทางการเงินของเอสซีจียังแข็งแกร่ง โดยได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนพลังงาน และวัตถุดิบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต รวมทั้งเร่งบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า การเลือกใช้วัตถุดิบที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น