จับตา"ไบเดน"คว้าผู้นำสหรัฐฯ ดันตลาดทุนไทยคึก
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณีนายโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 มีนโยบายหลัก ได้แก่ ปรับขึ้นภาษีนิติบุคคล เป็น 28% จาก 21% ขึ้นภาษีบริษัทลูกสัญชาติสหรัฐ เป็น 21% จาก 10.5% ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯลดลง กดดันให้เงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐฯไปเอเชีย รวมถึงประเทศที่มีความพร้อม ซึ่งอานิสงส์เชิงบวกกับประเทศไทยคือ อาจมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามาในตลาดทุนไทยด้วย เพราะยังมีความน่าสนใจอยู่
รวมถึงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และไทย ทำให้มีมีแนวโน้มขยายตัวในด้านการส่งออกได้ จากการที่นายโจ ไบเดน อาจยกเลิกการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้า อาทิ จีน ยุโรป และสนใจกลับเข้าสู่การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าที่ก้าวหน้าและครอบคลุมภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) เนื่องจากทั้งสหรัฐฯ และไทยยังไม่มีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสมาชิกซีพีทีพีพี บางประเทศ และนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ฟื้นตัว หนุนธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ช่วยเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์เชิงบวก
นายชัยยศ กล่าวว่า ช่วงปลายปี 2563 ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับขี้นได้ที่ระดับ 1,300-1,350 จุด ส่วนในปี 2564 คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะทำจุดสูงสุดได้ที่ระดับ 1,700 จุด เนื่องจากในปี 2563 ฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยอยู่ในระดับต่ำ จากผลกระทบโควิด-19 ราคาน้ำมันดิบลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวสูงขึ้นของหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) แต่ในปี 2564 เชื่อว่าภาพเหล่านี้จะลดน้อยลง และผ่านจุดวิกฤตต่ำสุดไปแล้ว คาดว่าปีหน้าจะมีวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เข้ามาและมีการใช้งานได้อย่างแน่นอน ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ประกอบกับไทยเริ่มต้นเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินำร่องแล้ว จึงประเมินว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ปี 2564 จะไม่แย่ไปกว่าปีนี้ อีกปัจจัยที่ต้องติดตามเช่นกันคือ การเมืองในประเทศ หากรัฐบาลบริหารจัดการได้ ดัชนีหุ้นจะดีดตัวขึ้น (รีบาวด์) แบบร้อนแรง ตลาดหุ้นไทยจะกลับเข้าสู่โทนบวกอีกครั้ง