“จุลพันธ์”ชี้ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ “เครื่องยนต์ใหม่”ดันเศรษฐกิจไทย

“จุลพันธ์”ชี้ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ “เครื่องยนต์ใหม่”ดันเศรษฐกิจไทย เผยร่างกฎหมายผ่านการพิจารณากฤษฎีกาแล้ว เตรียมจ่อเข้าครม.และสภาฯ
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเผยความคืบหน้าโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอทเพล็กซ์ว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอทเพล็กซ์ ซึ่งได้ปรับแก้รายละเอียดกลับมาให้กระทรวงการคลังแล้ว โดยคลังจะส่งร่างกฎหมายที่มีการปรับปรุงเข้าสู่ครม. เพื่อที่เข้าสู่วาระการพิจารณาในสภาฯ ต่อไป
“ตามขั้นตอนการจัดทำกฎหมาย จะต้องมีการพิจารณาในสภาฯ วาระ 2 และ 3 แล้วมีการลงมติทุกขั้นตอน รวมทั้งจะเปิดให้ตัวแทนทุกฝ่ายร่วมพิจารณาด้วย ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนพิจารณาในสภาฯ เร็วๆ นี้“
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ ก็เพื่อให้โครงการนี้ มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เติบโตลดลง จาก 10% เหลือ 2% ซึ่งรัฐมองว่าไม่เพียงพอหล่อเลี้ยงประชาชน ดังนั้น โครงการนี้ จึงเป็นโมเดลธุรกิจหนึ่งที่จะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หลายประเทศมีตัวอย่างการดำเนินโครงการที่แตกต่างกัน เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งบางประเทศที่น่าเป็นห่วงก็มี แต่ยืนยันว่า โมเดลของไทยไม่ใช่เช่นนั้น เพราะของไทยพื้นที่ เอ็นเตอร์เทนเมนท์จะสามารถรองรับได้ทั้งครอบครัว โดยมีสวนน้ำ สวนสนุก และร้านอาหาร เป็นต้น ซึ่งมีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน ไม่ได้จัดตั้งเฉพาะคาสิโนเท่านั้น
สำหรับร่างกฎหมาย นิยาม คือ การให้บริการเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ การนันทนาการรูปแบบบันเทิงตามบัญชีท้าย โดยกฎหมายกำหนดต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่าง ต่อ 1 คาสิโน เช่น ในคาสิโน ต้องมีโรงแรม สวนสนุก สวนน้ำ โอท็อป ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เป็นต้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา
นายจุลพันธ์ยกตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น สิงคโปร์ โดยพบว่า เมื่อมีการจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กแล้ว ภาคการท่องเที่ยวก้าวกระโดด อัตราการเติบโตนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5-25% ขณะที่ไทยไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวไทยมีความแข็งแกร่ง แต่เชื่อว่าอัตราการเติบโตท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นมาอีก 5-10% การใช้จ่ายต่อรายคาดเพิ่มเป็น 6.5 หมื่นบาท จาก 4.5 หมื่นบาทต่อราย ฉะนั้น ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ เชื่อว่าเป็นเชิงบวก
ส่วนสิ่งที่มีข้อกังวลด้านการกำกับดูแลนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า การเขียนกฎหมายเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแล ฉะนั้น ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ระหว่างเดินหน้าสู่สภาฯ สิ่งที่ต้องการมากที่สุด คือ การมีส่วนร่วม ต้องการดึงทุกภาคส่วนมาร่วมกันปรับ และกำหนด เพื่อให้สามารถบังคับใช้ ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกันกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ก็มีการปรับแก้ตลอด โดยเราพร้อมรับฟัง
ทั้งนี้ การกำกับดูแล เบื้องต้น เราวาดแผนว่าจะมีการเข้มงวดในการกำหนดคนเข้า โดยเขียนในกฎหมายสำหรับคนที่จะเข้าไปใช้บริการ อย่างน้อยต้องมีเงิน 5,000 บาท ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เข้าไปกำหนดเรื่องเงินฝาก โดยลึกๆ ส่วนตัวแล้ว เรามีความเห็นแย้ง แต่ก็พร้อมรับฟัง และนำไปสู่การพิจารณาในสภาฯต่อไป นอกจากนี้ มองว่าปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาแล้ว เชื่อมั่นว่าจะสามารถป้องปรามปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายยังได้กำหนดให้มี 2 คณะกรรมการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการนโยบาย โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งเป็นหัวหน้าที่จะรับผิดชอบขั้นสูงสุดทางสังคมได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องโปร่งใส รอบคอบ และพิสูจน์ได้
“เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการ และสำนักงานแล้ว จะต้องมีให้หน่วยงานเอกชนประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสังคม เพื่อกำหนดพื้นที่ ผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ ทั้งนี้ เมื่อศึกษาแล้วคณะกรรมการจึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าพื้นที่ใดมีความเหมาะสม และจะมีการเปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขันอย่างเป็นธรรม”
ส่วนประเด็นกังวลเรื่องทุนสีเทา สามารถตัดออกไปได้เลย เพราะเบริษัทขนาดใหญ่สนใจทั้งหมด และส่วนใหญ่ลงทุนหลายที่ และเม็ดเงินขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุน ไม่คุ้มความเสี่ยงที่จะถูกถอนใบอนุญาต และนักลงทุนต้องป้องกันการเกิดฟอกเงิน ค้ามนุษย์ ค้าประเวณี ซึ่งไม่ได้เสี่ยงเฉพาะการถูกถอนใบอนุญาตในประเทศไทย แต่ประเทศอื่นๆ ก็เสี่ยงถูกถอนใบอนุญาตด้วย
“รัฐบาลพร้อมรับฟังเสียงของทุกฝ่าย เราเชื่อว่า เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ คือ Game Changer จริงที่ประเทศไทยกำลังขาด อย่างไรก็ตาม เรียนว่าสุดท้ายจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวาระของสภาฯ ฉะนั้น การมีส่วนร่วมของทุกคนจึงมีความสำคัญ และวาระสุดท้ายสภาฯ จะเห็นชอบหรือไม่ หากเห็นชอบจะเดินหน้าต่อไป แต่หากศึกษาว่า ไม่มีที่ใดในประเทศไทยมีพื้นที่เหมาะสม ก็จะไม่เกิด แต่เราเชื่อว่าประเทศไทยเป็นพื้นที่มีศักยภาพ”