โควิด-19 : ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังก็เอาชนะไวรัสโคโรนาได้ หากดูแลตัวเองตามคำแนะนำแพทย์
ดีจเอซ ผู้จัดรายการประจำสถานีวิทยุบีบีซีเอ็กซ์ตรา (BBC 1xtra) ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังและรอรับบริจาคไตใหม่มาสองปีที่แล้ว
เขาเข้าข่ายบุคคลกลุ่มที่มี "ความเสี่ยงสูง" ต่อเชื้อไวรัสโคโรนา ตามนิยามของรัฐบาลอังกฤษ และควรปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา ดีเจเอซบอกเล่าประสบการณ์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า การติดโรคโควิค-19 ไม่ได้หมายความจะลงเอยด้วย "สภาพที่เลวร้ายที่สุด" เสมอไป
"คุณอาจจะสังเกตได้ว่าผมหายจากรายการไปสองอาทิตย์แล้ว" ดีเจเอซกล่าว "เพราะอาการป่วยทำให้ผมเป็นกลุ่มเสี่ยง และได้คำแนะนำว่าไม่ควรออกไปทำงานในช่วงนี้"
"แต่ผมยังต้องไปฟอกเลือดเป็นประจำสามครั้งต่ออาทิตย์ ทีนี้เมื่อประมาณสิบวันก่อน ผมรู้สึกมีไข้ แล้วก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว"
- ไวรัสโคโรนา : ยอดผู้ป่วยและเสียชีวิตทั่วโลก
- ไวรัสโคโรนา : เรื่องราวของคู่รักจีนและการกักตัวต่อสู้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
- ไวรัสโคโรนา : ที่มา อาการ การรักษา และการป้องกันโรคโควิด-19
https://www.instagram.com/p/B-Z-6qyh4Yd/
ต่อมา ดีเจเอซจึงโทรศัพท์ปรึกษากับแพทย์ ซึ่งแนะนำเขาว่าไม่จำเป็นต้องมาที่โรงพยาบาล แต่จะได้รับการฟอกเลือดแบบส่วนบุคคล และตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาด้วย
เวลาผ่านไปสิบวัน ผลก็ออกมาเป็นบวก เขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาเข้าจริง ๆ
"ผมอัดคลิปวิดีโอนี้เพื่อให้คนที่ป่วยเป็นโรคประจำตัวได้รู้ว่า หากคุณติดเชื้อคุณก็ยังสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ครับ" ดีเจเอซกล่าว
เขาเล่าว่าตัวเองพยายามศึกษาหาข้อมูลอย่างหนักว่า หากคนที่มีโรคประจำตัวเช่นนี้ติดโควิด-19 แล้วจะเกิดผลร้ายแรงต่อร่างกายอย่างไรบ้าง แต่เขากลับไม่พบข้อมูลเลย
"ผมมีอาการอยู่แค่ประมาณสองวัน มีไข้กับปวดเมื่อย ผมไม่มีอาการไอเลย แล้วผมก็รอดจากมันมาได้ปลอดภัยดี - ผลตรวจของผมเป็นบวก แต่ผมยังสบายดีครับ"
ปัจจุบัน เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยกลับไปกักตัวเองอีกครั้งหนึ่ง พร้อมย้ำด้วยว่า ที่สำคัญคือการ "ทำตามสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเขาบอกคุณ"
ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษมีมาตรการ "พิทักษ์" หรือ shielding เฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวร้ายแรงซึ่งมีความเสี่ยงสูงหากติดเชื้อไวรัสโคโรนา บุคคลที่เข้าข่ายนี้ เช่น ผู้เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจขั้นรุนแรง เป็นต้น
โดยรัฐบาลแนะนำให้บุคคลกลุ่มนี้จำนวน 1.4 ล้านคน อยู่แต่ภายในบ้านเท่านั้นเป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์ หลังจากได้รับจดหมายที่ส่งมาจากระบบบริการสาธารณสุขของอังกฤษ (National Health Service) ซึ่งบันทึกข้อมูลสุขภาพของประชาชนเอาไว้