“โตโยต้า” ส่อเจ็บหนักสุดเทียบค่ายรถทั้งหมด

“บลูมเบิร์ก” รายงานว่า “โตโยต้า มอเตอร์” ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น อาจเผชิญผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ หนักที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทรถยนต์รายอื่น ๆ
โดย “โตโยต้า” คาดการณ์กำไรลดลง 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในเวลาเพียง 2 เดือน และไม่ได้คาดการณ์ตัวเลขกำไรรวมตลอดทั้งปี 2568 แต่คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านเยน สำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม ปี 2569 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.7 ล้านล้านเยน
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขความเสียหายดังกล่าวสูงกว่าเมื่อเทียบกับ “เจเนอรัล มอเตอร์ส” (GM) ที่หั่นคาดการณ์กำไรตลอดทั้งปีลง 5 พันล้านดอลลาร์ และ “ฟอร์ด มอเตอร์” ที่ประเมินกำไรอาจลดลง 1.5 พันล้านดอลลาร์
แม้ว่า “โตโยต้า” จะเพิ่มการผลิตภายในสหรัฐฯ ให้มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายในสหรัฐฯ ทั้งหมด แต่ก็ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนและรุ่นรถยนต์รุ่นหลัก ๆ อยู่ ซึ่งคิดเป็นจำนวน 1.2 ล้านคันต่อปี และตกเป็นเป้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีสำหรับรถยนต์นำเข้าในอัตราร้อยละ 25 มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน ขณะที่การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 25 เช่นกัน มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม
ผลกระทบจากภาษีศุลกากรดังกล่าวสะท้อนถึงการตัดสินใจของ “โตโยต้า” ที่ยังคงราคารถยนต์ในสหรัฐฯ และจำนวนการผลิตที่โรงงาน 11 แห่งในสหรัฐฯ ท่ามกลางการเจรจาการค้าทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ และยังไม่ชัดเจนว่าจะบรรลุข้อตกลงเมื่อใด
“ฮิโรชิ นามิโอกะ” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ T&D แอสเส็ต แมเนจเมนต์ มองว่า อุปสรรคที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญในการลดภาษีรถยนต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั้นค่อนข้างสูง แต่ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมรถยนต์ก็มีความสำคัญเกินกว่าที่ญี่ปุ่นจะยอมทำตามสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ
“โตโยต้า” มียอดขายรถยนต์ทั่วโลก 10.8 ล้านคัน ในปี 2567 โดยสหรัฐฯ มีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 4 ของจำนวนดังกล่าว