สบน.มั่นใจฐานะการเงินไทยแข็งแกร่ง เงินคลังทะลุ 5 แสนล้าน

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานะการเงินการคลังของประเทศไทย ถือว่าแข็งแกร่ง มีเงินคงคลังทะลุ 500,000 ล้านบาท ถือเป็นวงเงินที่สูง เนื่องจากมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลไม่เต็มวงเงินที่กำหนดไว้ ดังนั้นความกังวลว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รวมถึงคู่สัญญากับภาครัฐนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลยังคงจัดเก็บรายได้ตามปกติ แม้รายได้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย มีจำนวนมหาศาล ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยประกาศไว้ มากกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นภาคการเงินและการคลังของไทย ถือว่าแข็งแกร่ง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สบน. มีหน้าที่บริหารหนี้สาธารณะไม่ให้สูงเกินความจำเป็น ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดกรอบเพดานไว้ไม่เกิน 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพื่อรักษาวินัยการเงินคลัง ตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 ขณะเดียวกันมีหน้าที่เสนอแนะให้รัฐบาล เร่งจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลน้อยลง
จนเข้าสู่งบประมาณสมดุลโดยเร็ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาการใช้จ่ายเกินตัวติดต่อกันยาวนาน ซึ่ง สบน.ได้ทำหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะรัฐบาลมาตลอด และต้องทำตลอดไป เพื่อบริหารงบประมาณแบบสมดุล และใช้เงินคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้ฐานะการเงินการคลังไทยจะแข็งแกร่ง แต่ สบน.ยังคงจะเสนอแนะให้รัฐบาลกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อเป็นดัชนีอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยให้กับภาคเอกชน
ขณะเดียวกันเป็นการสร้างเครดิตให้กับประเทศไทยด้วย ส่วนวงเงินที่จะไปกู้เงินต่างประเทศนั้น สามารถกำหนดได้ตามความเหมาะสม ตามกลไกตลาด ซึ่งขณะนี้หลายประเทศก็จะใช้วิธีการกู้เงินต่างประเทศ เนื่องจากต้นทุนการเงินต่างประเทศกับในประเทศไม่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นเพื่อสร้างเครดิตและสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้กับเอกชนในประเทศ รัฐบาลควรพิจารณาการกู้เงินจากต่างประเทศด้วย โดยเน้นเงินกู้เพื่อเศรษฐกิจสีเขียวเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของโลก และเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
“ทุกครั้งที่มีการเสนอกู้เงินต่างประเทศทุกครั้ง มักจะมีเสียงด่า ไม่พอใจ แต่ผมยังคงต้องการเสนอแนะรัฐบาลพิจารณากู้เงินต่างประเทศเช่นเดิม แต่วงเงินไม่มาก เพื่อเป็นฐานอ้างอิงให้กับเอกชนที่ต้องกู้เงินต่างประเทศ เหมือนกับประเทศอื่นๆ เริ่มออกไปกู้เงินต่างประเทศ เพื่อสร้างเครดิตว่า ประเทศกำลังเปิดรับการลงทุนและขยายการลงทุน จึงกู้เงินจากต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ทั้งนี้การกู้เงินต่างประเทศ ไม่ได้ทำได้ในทันที เพราะมีกระบวนการในการดำเนินการไม่ต่ำกว่า 6-7 เดือน ดังนั้นจึงต้องศึกษาและเตรียมการรองรับ และคัดกรองโครงการที่จะใช้เงินกู้ต่างประเทศ โดยโครงการนั้นจะต้องดำเนินการตามแผนการ ห้ามล่าช้า เพราะถือเป็นเครดิตของประเทศ“
ส่วนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ นั้น เชื่อว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ยังคงสถานะเดิม คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจาก พ.ร.บ. งบประมาณปี 69 ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และวุฒิสภา (สว.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงคลายความกังวลใจเรื่องงบประมาณ จากเดิมหลายสถาบันมีความกังวลว่างบประมาณ 2569 จะล่าช้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศอย่างแน่นอน
ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ สถาบันการจัดอันดับรับรู้อยู่แล้ว ทั้งกรณีภาษีสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนแล้วว่า ประเทศไทยเสียภาษีในอัตรา 19% ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ รวมถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย รวมถึงแผนการลงทุนต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนการเดินหน้าการลงทุน ทั้งการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินในต่างจังหวัด โครงการท่าเรือแหลมฉบังส่วนขยาย และอีกหลายโครงการ ทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มีความมั่นใจว่า ประเทศไทยยังคงมีการลงทุนต่อเนื่อง และมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ปัจจุบันสถานะหนี้ของประเทศไทย ณ เดือน ก.ค. 68 อยู่ที่ 12.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.49% ของจีดีพี โดยได้ประมาณการไว้ที่ 18.80 ล้านล้านบาท ซึ่งหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศ มีเพียง 1% เท่านั้นที่เป็นเงินกู้ต่างประเทศ โดยมูลหนี้ดังกล่าวไม่รวมหนี้รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินของรัฐ ดังนั้นหากจะมีการพิจารณากู้เงินต่างประเทศในจังหวะเวลาที่เหมาะสม น่าจะช่วยเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้ภาคเอกชน และสร้างเครดิตการกู้ยืมเงินให้กับประเทศไทยได้
นายพชร กล่าวว่า สำหรับภารกิจที่จะฝากไว้ก่อนที่จะไปรับตำแหน่งปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นั้น คือการเปิดจำหน่ายพันธบัตรดิจิทัลรัฐบาล หรือ G-Token วงเงิน 5,000 ล้านบาท แต่ละรายซื้อได้สูงสุด 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้จำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการออกพันธบัตร G-Token นั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล ซึ่งผู้ซื้อ G-Token จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลทั่วไป มีความมั่นคง เพราะอยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ตามแผนงานเดิม จะเปิดขายในไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ได้แต่หวังว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะสานต่อนโยบาย การออกพันธบัตร G-Token เพราะถือเป็นนโยบายที่ช่วยสนับสนุนส่งเสริมการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
