ผ้าไหมไทยจากสายพระเนตร พลังแห่งเอกลักษณ์ไทย

ภายหลังสำนักพระราชวังประกาศการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ปวงชนชาวไทยทั่วประเทศต่างน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อแผ่นดิน พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญคือการฟื้นฟู “ผ้าไหมไทย” ให้กลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรมของชาติ ผ่านสายพระเนตรที่มองเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น
พระองค์ทรงเป็นผู้มองเห็นความงดงามของงานหัตถกรรมพื้นบ้าน และเข้าใจความยากลำบากของเกษตรกรในชนบท พระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพทอผ้าไหมเริ่มขึ้นเมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมราษฎรภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงพุทธทศวรรษ 2490 ทรงเห็นว่าผ้าไหมมัดหมี่ฝีมือชาวบ้านงดงามแต่ไม่มีตลาดรองรับ จึงมีพระราชดำริให้ส่งเสริมเป็นอาชีพเสริมหลังฤดูทำนา เพื่อให้ประชาชนมีรายได้และสามารถพึ่งพาตนเองได้
จากพระราชดำริดังกล่าว พระองค์ได้สถาปนา “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เพื่อให้เกิดระบบพัฒนาอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า การย้อมสีธรรมชาติ การออกแบบลวดลาย ไปจนถึงการตลาดที่เป็นธรรม ศูนย์ศิลปาชีพในพระราชูปถัมภ์หลายแห่งทั่วประเทศได้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเยาวชนและผู้หญิงในชนบท จนสามารถสร้างอาชีพอย่างมั่นคงและยั่งยืน
พระองค์ยังทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ผ้าไหมไทยในชีวิตจริงและในเวทีนานาชาติ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมไทยที่ตัดเย็บอย่างประณีต ร่วมออกแบบกับดีไซเนอร์ชั้นนำ เช่น ปิแอร์ บัลแมง ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ผู้ช่วยออกแบบชุดพระราชนิยมที่ผสมผสานเอกลักษณ์ไทยกับแฟชั่นตะวันตก จนผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับในระดับโลก
เพื่อสร้างมาตรฐานผ้าไหมไทยให้เป็นที่ยอมรับ พระองค์ได้พระราชทานตราสัญลักษณ์ “นกยูงไทย” เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพ 4 ระดับ ได้แก่ นกยูงทอง นกยูงเงิน นกยูงฟ้า และนกยูงเขียว ใช้เป็นมาตรฐานคุณภาพของผ้าไหมไทยในประเทศและต่างประเทศ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค
พระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพไม่เพียงสร้างคุณค่าให้กับผ้าไหมไทย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนทอผ้าในหลายจังหวัด เช่น ลำพูน สุรินทร์ กาฬสินธุ์ และนครราชสีมา มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการรวมกลุ่มผลิตผ้าไหมคุณภาพสูง และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ผ้าไหมไทยจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจที่แสดงถึงความสามารถของชาวไทยในทุกภูมิภาค
ลวดลายผ้าไหมไทยแต่ละภูมิภาคมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ้ายกทองลำพูนใช้เทคนิคยกดอกละเอียดอ่อน ผ้าแพรวากาฬสินธุ์ทอด้วยเทคนิค “ขิด” ที่วิจิตร ส่วนผ้ามัดหมี่สุรินทร์มีลวดลายจากภูมิปัญญาชาวไทยเชื้อสายเขมร ผ้าไหมแต่ละผืนคือผลงานแห่งความตั้งใจและศรัทธาในศิลปะของช่างไทย ที่ถักทอด้วยความประณีตและความภาคภูมิใจในรากเหง้าของตน
ในปัจจุบัน ผ้าไหมไทยยังคงเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติ ภาครัฐและเอกชนร่วมกันส่งเสริมให้ประชาชนสวมใส่ผ้าไหมไทยในชีวิตประจำวัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนและสืบสานวัฒนธรรมไทยสู่คนรุ่นใหม่ ผ้าไหมไทยได้กลายเป็นสื่อกลางที่เชื่อมโยงศิลปะ ประเพณี และชีวิตผู้คนเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
ผ้าไหมไทยจากสายพระเนตรของสมเด็จพระพันปีหลวง คือมรดกแห่งพระปัญญาและพระเมตตา ที่เปลี่ยนผืนผ้าให้เป็นพลังแห่งชีวิต สร้างคุณค่าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม พระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพยังคงดำรงอยู่ในทุกชุมชนทอผ้าไทย และในหัวใจของประชาชนชาวไทยตราบนิรันดร์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
