รีเซต

10 กองทุนทองคำ ให้ผลตอบแทนดี แบ่งพอร์ตรับความเสี่ยงช่วงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน

10 กองทุนทองคำ ให้ผลตอบแทนดี แบ่งพอร์ตรับความเสี่ยงช่วงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน
TNN ช่อง16
12 มีนาคม 2565 ( 14:49 )
237

ในช่วงที่สถานการณ์โลกยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะกรณีสงครามรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดความกังวลกันไปทั่วโลกว่าอาจจะกระทบต่อเศรษฐโดยรวม ยิ่งช่วงนี้ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเลย คงหนีไม่พ้นเรื่องของราคาพลังงานหรือราคาน้ำมันที่พุ่งพรวด และไม่มีทีท่าว่าจะปรับลงเร็วๆนี้แน่ หรือแม้กระทั่งตลาดทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ได้รับเอฟเฟคจากสถานการณ์จากสองชาตินี้  ในทางกลับกันบรรดาสินทรัพย์ปลอดภัยหรือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงอย่าง ทองคำ กลับทิศมาเป็นขาขึ้นแทน เห็นได้จากราคาที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ ในบ้านเราก็ได้เห็นบรรยากาศการต่อคิวหน้าร้านทองเพื่อนำทองคำไปขายกันอย่างคึกคัก 


สมาคมค้าทองคำ รายงานคาดการณ์ราคาทองคำในเดือน มีนาคม 2565 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในช่วง 1,870 – 2,033 ดอลลาร์ ต่อออนซ์  ส่วนราคาทองคำแท่ง ในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 28,800 – 31,200 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ (ค่าเงินบาท ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 32.16 – 33.45 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ภาพจาก : ช่างภาพ TNN ONLINE


นอกจากทองคำแท่ง กองทุนทองคำ ยังเป็นทางเลือกของนักลงทุน ในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยง ซึ่ง บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย) รายงานว่า กองทุนทองคำ มีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปีที่ 9.8% ( ณ 7 มีนาคม 2565 ) โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมากองทุนทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.3% ต่อปี  ทั้งนี้ ราคาทองคำที่สูงขึ้นในปีนี้มีสาเหตุจากความกังวลภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีประเด็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ  โดยหากประเด็นระหว่างรัสเซียและยูเครนยังยืดเยื้อและนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อสินค้าส่งออกของรัสเซีย ย่อมส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะถัดไป แต่หากสถานการณ์ยังไม่มีสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นก็อาจทำให้ราคาทองคำยังยืนอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงนี้ ดังนั้นผู้ลงทุนที่มีการลงทุนทองคำอยู่อาจมีสัดส่วนในพอร์ตสูงขึ้นจากผลกำไร อาจพิจารณาปรับพอร์ตตามความเหมาะสม


ปัจจุบันมี  กองทุนทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก (ณ 11 มี.ค. 2565) ดังนี้

  1. ลำดับ
    กองทุน
    ประเภท
    ผลตอบแทน
    1.กองทุนเปิดเค โกลด์-A  ชนิดสะสมมูลค่า K-GOLD-A(A)
    10.76%
    2.กองทุนเปิดเค โกลด์-A
    ชนิดจ่ายเงินปันผล K-GOLD-A(D)
    10.72%
    3.กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ 
    เพื่อการเลี้ยงชีพ TGOLDRMF
    10.72%
    4.กองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ KGDRMF
    10.68%
    5.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ 
    (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) SCBGOLDHE 10.62% 
    6.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์
     (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล) SCBGOLDHP
    10.53%
    7.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์
    SCBGOLDH
    10.52%
    8.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (ชนิดเพื่อการออม) SCBGOLDH-SSF 
    10.52% 
    9.กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) SCBGOLDE 10.46% 
    10.กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลด์ อินคัม
    ชนิดผู้ลงทุนพิเศษ PRINCIPAL iGOLD-X
    10.46%
    ข้อมูลจาก : บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย) 

การลงทุนทองคำในช่วงนี้ สมาคมค้าทองคำ แนะนำว่า นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่นานาประเทศคว่ำบาตรรัสเซียอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทัน  หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด แนะนำให้นักลงทุนถือครองต่อไป และอาจแบ่งขายทำกำไรบางส่วน รวมถึงให้ติดตามการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ระหว่างวันที่ 15 -16 มีนาคม 2565 อีกด้วย


นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในประเทศทะยานขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยขายออกที่ราคา 32,100 บาทต่อบาททองคำ และซื้อเข้าที่ราคา 32,000 บาทต่อบาททองคำ ก่อนที่จะย่อตัวลงมา  ซึ่งวายแอลจีมองว่าปีนี้ราคาทองคำก็จะทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยปัจจัยสนันสนุนหลักๆ อาทิ สถานการณ์ในรัสเซียและยูเครน ที่สร้างความกังวลว่าจะยืดเยื้อและกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่จะกระทบราคาสินค้าประเภทอื่นๆ และส่งผลต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวขึ้นมากกว่าเดิม   ดังนั้น แรงขายทำกำไรสลับออกมาจนราคาทองคำเริ่มปรับตัวลดลง มองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เทขายออกคำออกไปแล้วได้กลับเข้ามาสะสมซื้อทองคำอีกครั้ง


สำหรับผู้ที่มีทองคำในพอร์ตเป็นจำนวนมาก วายแอลจีแนะนำให้แบ่งขายทำกำไรบางส่วนและถือต่อบางส่วน รวมถึงผู้ที่ลงทุนในตลาดล่วงหน้าหากถือสถานะเป็นจำนวนมาก และให้ลดสถานะการถือครองทองคำบางส่วน ด้วยการขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อราคาปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 2,020-2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้าน 2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แนะนำถือสถานะที่เหลือต่อเพื่อรอไปขายที่แนวต้านถัดไปโซน 2,070-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้วรอการอ่อนตัวลงของราคาจึงกลับเข้าซื้อบริเวณแนวรับด้านล่าง


ส่วนผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในพอร์ตนั้นต้องรอการอ่อนตัวลงเพื่อเป็นโอกาสทยอยซื้อ ซึ่งประเมินว่าการปรับตัวลงของราคาทองคำยังคงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเช่นเดิม แต่แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเข้าซื้อ โดยไม่เข้าซื้อที่แนวรับใดแนวรับหนึ่งเต็ม 100% ของพอร์ต แนะนำเข้าซื้อแนวรับแรก หากราคาทองคำหากสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,970-1,953 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แต่หากราคาหลุดแนวรับบริเวณ 1,953 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ควรชะลอการเข้าซื้อออกไปยังแนวรับถัดไปที่ 1,900-1,890 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ขณะที่การหลุด1,890 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จะทำให้ทิศทางราคาทองคำในระยะสั้นเป็นลบมากยิ่งขึ้น จึงอาจชะลอการเข้าซื้ออกไปเพื่อรอดูการตั้งฐานของราคาอีกครั้ง


ภาพจาก : ช่างภาพ TNN ONLINE


ทั้งนี้ การลงทุนทองผ่าน กองทุนทองคำ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องอาศัยเงินทุนที่สูงเหมือนการซื้อ ทองคำแท่ง หรือการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่ต้องมีขั้นต่ำในการซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้กองทุนทองสามารถเริ่มต้นซื้อได้ตั้งแต่หลักสิบหลักร้อย เพื่อให้สามารถทยอยสะสมไปได้เรื่อยๆ แต่หากใครมีทุนมากก็แบ่งไปซื้อทองคำแท่งไว้เพื่อลงทุนด้วยก็ได้เพื่อความสบายใจ แถมยังซื้อขายแลกเปลี่ยนง่าย แม้จะนำไปขายต่างร้านต่างสาขา ยิ่งช่วงนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจเลย ที่จะเห็นผู้คนต่อคิวนำทองไปขายในช่วงที่ทองคำได้ราคาดี 


อ้างอิง : บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย), สมาคมค้าทองคำ ,บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด 

ภาพประกอบ : AFP ,ช่างภาพ TNN Online 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง