10 กองทุนทองคำ ให้ผลตอบแทนดี แบ่งพอร์ตรับความเสี่ยงช่วงสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน
ในช่วงที่สถานการณ์โลกยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะกรณีสงครามรัสเซียและยูเครน ทำให้เกิดความกังวลกันไปทั่วโลกว่าอาจจะกระทบต่อเศรษฐโดยรวม ยิ่งช่วงนี้ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเลย คงหนีไม่พ้นเรื่องของราคาพลังงานหรือราคาน้ำมันที่พุ่งพรวด และไม่มีทีท่าว่าจะปรับลงเร็วๆนี้แน่ หรือแม้กระทั่งตลาดทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ได้รับเอฟเฟคจากสถานการณ์จากสองชาตินี้ ในทางกลับกันบรรดาสินทรัพย์ปลอดภัยหรือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงอย่าง ทองคำ กลับทิศมาเป็นขาขึ้นแทน เห็นได้จากราคาที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ ในบ้านเราก็ได้เห็นบรรยากาศการต่อคิวหน้าร้านทองเพื่อนำทองคำไปขายกันอย่างคึกคัก
สมาคมค้าทองคำ รายงานคาดการณ์ราคาทองคำในเดือน มีนาคม 2565 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในช่วง 1,870 – 2,033 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่ง ในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 28,800 – 31,200 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ (ค่าเงินบาท ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 32.16 – 33.45 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ภาพจาก : ช่างภาพ TNN ONLINE
นอกจากทองคำแท่ง กองทุนทองคำ ยังเป็นทางเลือกของนักลงทุน ในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยง ซึ่ง บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย) รายงานว่า กองทุนทองคำ มีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปีที่ 9.8% ( ณ 7 มีนาคม 2565 ) โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมากองทุนทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 7.3% ต่อปี ทั้งนี้ ราคาทองคำที่สูงขึ้นในปีนี้มีสาเหตุจากความกังวลภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีประเด็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ โดยหากประเด็นระหว่างรัสเซียและยูเครนยังยืดเยื้อและนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อสินค้าส่งออกของรัสเซีย ย่อมส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะถัดไป แต่หากสถานการณ์ยังไม่มีสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นก็อาจทำให้ราคาทองคำยังยืนอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วงนี้ ดังนั้นผู้ลงทุนที่มีการลงทุนทองคำอยู่อาจมีสัดส่วนในพอร์ตสูงขึ้นจากผลกำไร อาจพิจารณาปรับพอร์ตตามความเหมาะสม
ปัจจุบันมี กองทุนทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก (ณ 11 มี.ค. 2565) ดังนี้
ข้อมูลจาก : บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย)ลำดับ กองทุนประเภทผลตอบแทน1. กองทุนเปิดเค โกลด์-A ชนิดสะสมมูลค่า K-GOLD-A(A) 10.76% 2. กองทุนเปิดเค โกลด์-A ชนิดจ่ายเงินปันผล K-GOLD-A(D) 10.72% 3. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ TGOLDRMF 10.72% 4. กองทุนเปิดเค โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ KGDRMF 10.68% 5. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) SCBGOLDHE 10.62% 6. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล) SCBGOLDHP 10.53% 7. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ SCBGOLDH 10.52% 8. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ THB เฮดจ์ (ชนิดเพื่อการออม) SCBGOLDH-SSF 10.52% 9. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลด์ (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) SCBGOLDE 10.46% 10. กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลด์ อินคัม ชนิดผู้ลงทุนพิเศษ PRINCIPAL iGOLD-X 10.46%
การลงทุนทองคำในช่วงนี้ สมาคมค้าทองคำ แนะนำว่า นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการที่นานาประเทศคว่ำบาตรรัสเซียอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทัน หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด แนะนำให้นักลงทุนถือครองต่อไป และอาจแบ่งขายทำกำไรบางส่วน รวมถึงให้ติดตามการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ระหว่างวันที่ 15 -16 มีนาคม 2565 อีกด้วย
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (TFEX) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในประเทศทะยานขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยขายออกที่ราคา 32,100 บาทต่อบาททองคำ และซื้อเข้าที่ราคา 32,000 บาทต่อบาททองคำ ก่อนที่จะย่อตัวลงมา ซึ่งวายแอลจีมองว่าปีนี้ราคาทองคำก็จะทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยปัจจัยสนันสนุนหลักๆ อาทิ สถานการณ์ในรัสเซียและยูเครน ที่สร้างความกังวลว่าจะยืดเยื้อและกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่จะกระทบราคาสินค้าประเภทอื่นๆ และส่งผลต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้น แรงขายทำกำไรสลับออกมาจนราคาทองคำเริ่มปรับตัวลดลง มองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เทขายออกคำออกไปแล้วได้กลับเข้ามาสะสมซื้อทองคำอีกครั้ง
สำหรับผู้ที่มีทองคำในพอร์ตเป็นจำนวนมาก วายแอลจีแนะนำให้แบ่งขายทำกำไรบางส่วนและถือต่อบางส่วน รวมถึงผู้ที่ลงทุนในตลาดล่วงหน้าหากถือสถานะเป็นจำนวนมาก และให้ลดสถานะการถือครองทองคำบางส่วน ด้วยการขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อราคาปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 2,020-2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากผ่านแนวต้าน 2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แนะนำถือสถานะที่เหลือต่อเพื่อรอไปขายที่แนวต้านถัดไปโซน 2,070-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้วรอการอ่อนตัวลงของราคาจึงกลับเข้าซื้อบริเวณแนวรับด้านล่าง
ส่วนผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในพอร์ตนั้นต้องรอการอ่อนตัวลงเพื่อเป็นโอกาสทยอยซื้อ ซึ่งประเมินว่าการปรับตัวลงของราคาทองคำยังคงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเช่นเดิม แต่แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเข้าซื้อ โดยไม่เข้าซื้อที่แนวรับใดแนวรับหนึ่งเต็ม 100% ของพอร์ต แนะนำเข้าซื้อแนวรับแรก หากราคาทองคำหากสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,970-1,953 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แต่หากราคาหลุดแนวรับบริเวณ 1,953 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ควรชะลอการเข้าซื้อออกไปยังแนวรับถัดไปที่ 1,900-1,890 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่การหลุด1,890 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จะทำให้ทิศทางราคาทองคำในระยะสั้นเป็นลบมากยิ่งขึ้น จึงอาจชะลอการเข้าซื้ออกไปเพื่อรอดูการตั้งฐานของราคาอีกครั้ง
ภาพจาก : ช่างภาพ TNN ONLINE
ทั้งนี้ การลงทุนทองผ่าน กองทุนทองคำ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องอาศัยเงินทุนที่สูงเหมือนการซื้อ ทองคำแท่ง หรือการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่ต้องมีขั้นต่ำในการซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้กองทุนทองสามารถเริ่มต้นซื้อได้ตั้งแต่หลักสิบหลักร้อย เพื่อให้สามารถทยอยสะสมไปได้เรื่อยๆ แต่หากใครมีทุนมากก็แบ่งไปซื้อทองคำแท่งไว้เพื่อลงทุนด้วยก็ได้เพื่อความสบายใจ แถมยังซื้อขายแลกเปลี่ยนง่าย แม้จะนำไปขายต่างร้านต่างสาขา ยิ่งช่วงนี้ก็คงไม่น่าแปลกใจเลย ที่จะเห็นผู้คนต่อคิวนำทองไปขายในช่วงที่ทองคำได้ราคาดี
อ้างอิง : บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย), สมาคมค้าทองคำ ,บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด
ภาพประกอบ : AFP ,ช่างภาพ TNN Online