สแกนหุ้นโรงพยาบาล รายได้ดีต่อเนื่อง จากบริการตรวจหาเชื้อ-ฉีดวัคซีนโควิด
ข่าววันนี้ หนึ่งในหุ้นที่น่าจะตอบรับข่าววัคซีนที่เดินหน้าได้ตามแผนในขณะนี้ คือหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เพราะนอกจากรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากการตรวจ และรักษาผู้ป่วยโควิด 19 แล้ว ยังมีรายได้ในส่วนของการให้บริการฉีดวัคซีน ทั้งที่เป็นวัคซีนหลักของรัฐบาลและวัคซีนทางเลือกที่โรงพยาบาลเอกชน สามารถนำเข้ามาให้บริการเพิ่มเติมได้...ไปดูกันว่า โบรกเกอร์มีมุมมองต่อประเด็นนี้อย่างไรบ้าง รายการ TNN ชั่วโมงทำเงิน รวบรวมไว้ดังนี้
ฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่าจุดที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมโรงพยาบาล คือทิศทางผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2 ที่ค่อนข้างจะเป็นบวกทุกโรงพยาบาล จากความต้องการบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่เร่งตัวมากขึ้น ทั้งการตรวจหาเชื้อซึ่งงวดไตรมาสที่ 2 การตรวจทุกโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ทั้งจากช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มอย่างมีนัยยะจากไตรมาส 2 ของปีก่อน ที่ภาวะการระบาดต่ำกว่าปัจจุบันค่อนข้างมาก
โดยข้อมูลพบว่าระดับการตรวจโควิดเพิ่มขึ้นทุกรายโดยเฉพาะ BCH และ BDMS ที่มีอัตราการตรวจเฉลี่ยสูงถึง 4,000 ถึง 5,000 บาทต่อวัน จากไตรมาสที่ 1 ที่อยู่ราว 1,300 รายต่อวันเท่านั้น ซึ่งทิศทางดังกล่าว ยังสอดคล้องกับทิศทางของโรงพยาบาลอื่นที่ฝ่ายวิจัยศึกษาได้แก่ CHG RJH BH PR9 อีกด้วย
ประเด็นต่อมาคือการรับรักษาผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาล ที่ช่วยเพิ่มอัตราผู้ป่วยในได้ราว 10 -15% โดยพบว่า BCH CHG และ BDMS มีสัดส่วนเตียงรองรับผู้ป่วยโควิดสูง 44.4% , 26.7% และ 22.2% ของเตียงรวมในโรงพยาบาล ในขณะที่บริการกักตัวผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง ที่เป็นบริการส่วนเพิ่มชั่วคราว ก็เป็นรายได้อีกส่วนที่จะเข้ามาชดเชยจำนวนเตียงผู้ป่วยในเดิมให้กับโรงพยาบาล โดยเชื่อว่าโรงพยาบาลที่น่าจะมีรายได้ส่วนดังกล่าวเพิ่มมากที่สุดคือ BCH CHG และ PR9
และถ้ามองยาวขึ้นไปถึงภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาลในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ผลบวกจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดจะลดลง แต่ก็ยังมีตัวช่วยจากรายได้ในการร่วมให้บริการฉีดวัคซีนของรัฐนั่นคือแอสตร้าเซเนก้า และซิโนแวค โดยเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 40 บาทต่อคนหรือเข็มละ 20 บาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในส่วนนี้นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
ส่วนที่สอง คือรายได้จากการให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือก ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนของโมเดอร์นาที่อยู่ระหว่างเจรจาเป็นวัคซีนหลัก เบื้องต้น คาดว่าราคาจะอยู่ที่ราว 3,000 - 4,000 บาทต่อคน ซึ่งคาดหวังว่ารายได้ในส่วนนี้ จะเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำในปีถัดไป เพราะคาดว่าประชาชนทุกคน ต้องมีการรับวัคซีนซ้ำทุกปีเหมือนกรณีไข้หวัดใหญ่
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัสให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า จากปัจจัยบวกต่อธุรกิจทั้งหมดที่กล่าวมา เชื่อว่าน่าจะมีผลอย่างมีนัยยะสำคัญต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และหากอิงตามแผนกระจายวัคซีนของรัฐ ที่ภายในปีนี้จะมีประชากรที่ได้รับวัคซีนอยู่ในสัดส่วน 71% ของประชากรทั่วประเทศ ก็เชื่อว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของผู้ป่วยไทย ในการกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลให้กลับสู่ระดับปกติได้ และจะตามมาด้วยการกลับมาของผู้ป่วย fly in นับตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป ซึ่งหากเป็นไปตามคาด ก็มองว่าผลประกอบการของโรงพยาบาลกลุ่มที่รับเงินสด จะเริ่มพลิกกลับมาเด่นกว่าโรงพยาบาลที่รับประกันสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าจะเป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย
ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส จึงให้ BDMS เป็น top pick ของกลุ่ม โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท ซึ่งปัจจัยบวกจะอยู่ที่กำไรที่คาดว่าเติบโตทุกไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ไปจนถึงอย่างน้อยในปีหน้า รองลงมาคือ PR9 ที่ให้ราคาเป้าหมายที่ 12 บาท โดยเชื่อว่าจะเห็นการ turnaround ของกำไรในปีนี้และจะขยายตัวต่อในปีหน้าจากกำลังให้บริการที่เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลประกันสังคม มองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยบวกไปพอสมควรแล้ว จึงควรระมัดระวังผลประกอบการครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะอ่อนตัว และแนะนำลงทุนได้เฉพาะหุ้นที่ยังคาดหวังการเติบโตได้ต่อเนื่องอย่าง BCH โดยแนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และให้ราคาเป้าหมาย 20.10 บาท
ฝ่ายวิจัยของหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า ราคาหุ้นของกลุ่มโรงพยาบาลประกันสังคมบวกขึ้นมาโดดเด่นมากแล้ว ทั้ง BCH และ CHG ซึ่งตั้งแต่ต้นปีบวกขึ้นมาแล้วถึง 53.1% และ 45.1% ตามลำดับจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด ส่วนแผนการการฉีดวัคซีนทางเลือกของโรงพยาบาลเอกชน ที่คาดจะเกิดขึ้นได้ในไตรมาส 3 นั้น เนื่องจากขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับการนำเข้าวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจำนวนวัคซีนหลักของรัฐบาลมีจำนวนมากพอ ดังนั้น หากมีความเสี่ยงต้องเลื่อนไปเป็นไตรมาส 4 ความต้องการการฉีดวัคซีนอาจน้อยลง เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากจะเลือกฉีดวัคซีนฟรีมากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากประเมินปัจจัยรอบด้านในตอนนี้ "เมย์แบงก์ กิมเอ็ง" ให้น้ำหนักไปที่ BH และ BDMS มากกว่า นอกจากราคาหุ้นที่ยัง Laggard กว่าแล้ว ยังมีโอกาสจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาได้ โดยผู้ป่วยต่างประเทศของ BH คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 67% ของรายได้ และ BDMS ที่มีสัดส่วนสูงถึง 30% ของรายได้รวม ซึ่ง"เมย์แบงก์ กิมเอ็ง"ให้ราคาเป้าหมายสำหรับ BH ไว้ที่ 146 บาท และให้ราคเป้าหมายสำหรับ BDMS ไว้ที่ 24 บาท