รมว.คลังมั่นใจ ไทยไม่ถูกลดอันดับเครดิต ระบุ เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง

รมว.คลังมั่นใจ ไทยไม่ถูกลดอันดับเครดิต ชี้ เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง การเมืองเข้มแข็ง ไม่หวั่นปัญหาหนี้สาธารณะพุ่ง

#ทันหุ้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า ไทยจะไม่ถูกลดอันดับเครดิต เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เขากล่าวว่า สิ่งสำคัญที่บริษัทจัดอันดับเครดิต้องการเห็นนอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้วก็คืออยากเห็นคือรัฐบาลมีความต่อเนื่อง เพราะเขาอยากเห็นความต่อเนื่องของรัฐบาล เชื่อว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว

เขากล่าวว่า เมื่อเอาเศรษฐกิจไทยเทียบกับมาเลเซียแล้ว ตนไม่เห็นว่า เราจะด้อยกว่ามาเลเซียเลย มีอันเดียวเท่านั้นที่อาจแตกต่างคือ ความชัดเจนของการลงทุนใหม่ ถ้าเราทำความชัดเจนตรงนี้ เชื่อว่าการลงทุนจะมาแน่

เขากล่าวว่า  ความเสี่ยงของเรตติ้งที่จะถูกลดอันดับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสมมุติฐาน กล่าวคือ ถ้าเชื่อว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตต่ำกว่า3%ไปหลายปี ก็เป็นการมอง เพราะมันก็ส่งผลถึงหนี้ครัวเรือนหนี้smes คือทำให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวยากขึ้น

อีกประการ หนี้สาธารณะ ที่ปัจจุบันรัฐบาลยังจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลอยู่ แต่ในระยะยาวเราจะต้องทำให้สมดุลให้ได้ แต่ในช่วง transitionก็จำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล สอดคล้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

“หากเราโต3%ของจีดีพีแล้วเราขาดดุลงบประมาณอยู่ที่4%ของจีดีพี แปลว่าเราใช้เงินมากกว่าที่หาได้ภาระหนี้ก็ต้องเพิ่ม แต่หากว่าจีดีพีสามารถขยายตัวได้สูง ภาระหนี้สาธารณะก็จะลดลง”

ทั้งนี้ เพื่อจะดูว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้หรือไม่ ที่ผ่านมาที่เราเห็นเศรษฐกิจไม่โต เพราะการลงทุนมันน้อย ซึ่งในปี 2567 คนที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอทำลายสถิติ10ปีที่ผ่านมา และถ้าเราเอายอดการขอส่งเสริมการลงทุนย้อนหลังไปจนถึงปี 2565 จะมีมูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนมากกว่า2ล้านล้านบาท  ซึ่งคำขอส่งเสริมการลงทุนเหล่านั้นจะทยอยเข้ามา เพราะโครงการที่ขอส่งเสริมการลงทุนกว่าจะลงทุนตามแผนที่ขอส่งเสริมมาทั้งหมดก็ 3 ปีบวกลบ แต่ธุรกิจสมัยใหม่เป็นการลงทุนในnew technology ดังนั้น การลงทุนอาจเร็วกว่า3ปีก็ได้ถ้าเราเชื่อมั่นว่า ต่างประเทศยังสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่

นอกจากการรอเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศแล้ว รัฐบาลก็จำเป็นต้องสร้างโครงการเพื่อให้เกิดการลงทุน เพื่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ซึ่งรัฐบาลเตรียมที่จะทำ infra fund โดยจะหยิบโครงการที่ค้างมาตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน คือโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน รัฐบาลจะหยิบยกโครงการนี้มาดูว่าจะทำอย่างไรให้โครงการนี้เกิดขึ้นให้ได้โดยที่รัฐบาลยังได้ผลประโยชน์เท่าเดิมโครงการนี้มูลค่ารวมราว2แสนล้านบาทสำหรับเส้นทางรถไฟความเร็วสูง200กว่ากิโลเมตร  นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่น storage หรือ crowd ก็จะตามมา

“เศรษฐกิจเรา มันค่อยๆโต แต่จะให้เศรษฐกิจที่เคยโตต่ำแค่2%กระโดดขึ้นเป็น4% มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมันต้องมีที่มาที่ไป”

สำหรับภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาลนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ไม่น่ากังวล เนื่องจากแหล่งของเงินกู้ของรัฐบาลนั้นส่วนใหญ่เป็นแหล่งเงินกู้ภายในประเทศ  เพราะถ้ากู้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจ้าหนี้ทวงขอคืนหนี้จากเรา มันก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้ากู้ในประเทศ มันเป็นการใช้savingในประเทศที่มีสภาพคล่องสามารถหมุนเวียนได้ ซึ่งหลายประเทศที่มีโครงสร้างหนี้สาธารณะเกิน100%ของจีดีพีก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นการกู้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ขอไทยกำหนดไว้ไม่เกิน 70%ของจีดีพี นอกจากนี้การนิยามหนี้สาธารณของไทยได้รวมเอาหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกันเข้ามารวมด้วยขณะที่ กติกาสากลไม่นับรวม