เอกชนประสานเสียงเสนอนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน

รัฐบาลอนุทิน ประกาศว่า ในช่วงเวลา 4 เดือนที่เข้ามาทำหน้าที่ จะมีงานเร่งด่วน 4 ด้านต้องเร่งดำเนินการ คือ
1. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ค่าครองชีพ ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง และค่าขนส่งต่างๆ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยอย่างเร่งด่วน
2. ด้านความมั่นคง มุ่งแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อลดความสูญเสียและผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
3. ด้านภัยธรรมชาติ ต่อยอดการพัฒนาระบบเตือนภัยที่เคยริเริ่มไว้ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมเร่งชดเชยความเสียหายแก่ประชาชนที่ประสบภัยธรรมชาติให้ทันการณ์
4. ด้านภัยสังคม มุ่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ การพนัน และการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ เพื่อกวาดล้างปัญหาภัยสังคมในทุกรูปแบบ
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างไปพบกับผู้บริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะสนับสนุนให้มีการลงทุน และผลิตสินค้าภายในประเทศมากขึ้น ประเทศไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่น ยอมรับว่าไทยมีคู่แข่งมาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องตื่นตัว เพื่อความอยู่รอดของประเทศ และต้องเร่งหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ด้วยในเรื่องส่งเสริมการลงทุน ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่มั่นใจว่า จะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ผลักดันให้ประเทศไทยเติบโตและทำให้ทุกฝ่ายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น
ในการหารือระหว่างนายกฯ และส.อ.ท. ทางทีมผู้บริหารส.อ.ท. นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย
1.การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า
2.การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
3.การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
4.การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
5.การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
เกรียงไกร เธียรนุกุล ส.อ.ท. แสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
ช่วงปลายสัปดาห์ นายกฯ อนุทิน ไปพบผู้บริหารหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย “ภาคเอกชนมีข้อเสนอ 7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย”
1.Rebuild Confidence Plan เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศและนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย
2.Liquidity for SMEs & Households เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการและครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก
3.Ease Cost of Living ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนของประชาชน
4.Seamless Trade ค้าขายคล่อง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม
(Fair Trade) สร้างความสามารถแข่งขันให้ SMEs
5.Safety & Security of Thailand ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และสังคมออนไลน์
6.Trade War Response เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความผันผวนค่าเงิน
7.Boost Demand & Tourism กระตุ้นกำลังซื้อและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ
สำหรับข้อเสนอในระยะเร่งด่วน 4 เดือน เช่น เร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ ควรดูแลค่าเงินบาทให้สามารถแข่งขันได้
ในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นด้วยกับโครงการ“คนละครึ่ง” และอยากให้ออก “Easy E-Receipt” เพิ่ม รวมถึงรณรงค์ “ใช้ของไทย ฟื้น SME” พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ เพื่อกระตุ้นใช้จ่ายของกลุ่มนักท่องเที่ยว
ด้านมาตรการเอสเอ็มอี อยากให้จัดสรรงบ 10,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP ด้านแรงงาน อยากให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงร้อยละ 50 เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังควรเดินหน้านโยบาย Zero Corruption
ส่วนมาตรการในระยะกลาง 8 เดือน อยากให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก พร้อมกันนี้ ต้องเร่งพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด อีกทั้งยังควรมีมาตรการสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและคูปองฝึกอบรม
ขณะเดียวกัน ควรเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ตลอดจนการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบควรถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้มาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดภาระที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ภาคธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทางด้าน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มีข้อเสนอ 7 มาตรการเร่งด่วน คือ
1. ขอให้กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของภูมิภาค
2. ขอให้ ลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ อาทิ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ต้นทุนพลังงาน และชะลอการออกกฎหมาย หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการประกอบธุรกิจ
3. เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ และเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในประเทศ
4. เร่งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์การค้า โดยเฉพาะปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรม และกำหนดแนวทางดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามข้อเสนอของภาคเอกชน
5. เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้า เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภค และให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ
6. ตรวจสอบกฎแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย ออกไปลงทุนในต่างประเทศ และนำรายได้กลับเข้าสู่ประเทศผ่านมาตรการ Double Taxation
7. สานต่อนโยบายที่ดีจากรัฐบาลที่ผ่านมา และมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าต่อประเทศมากที่สุด
ส่วน สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 3 มาตรการเร่งด่วน Quick Win ต่อรัฐบาลใหม่
1. กระตุ้นการจับจ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน เพื่อสร้าง Multiplier Effect หรือผลกระทบเชิงเศรษฐกิจเชื่อมโยงหลายทอด สมาคมฯ ขอเสนอมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีทันที
“โครงการ คนละครึ่ง” : จะเป็น “ยาแรง” ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง เสนอให้ปรับเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาท เป็น 300 บาท โดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบัน
“โครงการ Easy e-Receipt” เฟส 2 ควรเดินหน้าโครงการปลายปีนี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงไฮซีซั่น เสนอจำกัดวงเงินสูงสุด 100,000 บาทต่อคน ในช่วง 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม)
2.ส่งเสริมไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปสำหรับนักท่องเที่ยว (Shopping Paradise) เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวและสร้างความสามารถในการแข่งขันกับภูมิภาค สมาคมฯ เสนอมาตรการดังนี้
-ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์สูงถึงร้อยละ 20–30 สูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง มีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์เท่ากับร้อยละ 0 โดยเสนอให้ภาครัฐลดอัตราภาษีนำเข้าลง เหลือราวร้อยละ 10–15 เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในการช้อปปิ้ง
-มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบทันที (Instant VAT Refund) ทดลอง คืนภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ณ ร้านค้า สำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท โดยเริ่มจากร้านค้าสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายทันที เพิ่มโอกาสในการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
-ขยายระยะเวลาวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซีย เสนอ ขยายระยะเวลาวีซ่าจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน เพื่อให้กระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้สู่ภาคท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและนิยมพำนักระยะยาว
3.กระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน เช่น การจ้างงานรายชั่วโมง ช่วยลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถบริหารต้นทุนแรงงานได้คล่องตัวมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดแรงงานไทย
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เชื่อมั่นว่า มาตรการเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยภาคค้าปลีก แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อผู้ผลิต SMEs เกษตรกร แรงงาน และผู้บริโภคทุกกลุ่ม ก่อให้เกิดแรงส่งเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
