เจออีก พบเอกสารลับชุดที่ 2 ในอีกสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ “ไบเดน”
---แถลงพบเอกสารเกี่ยว ‘ไบเดน’---
คารีน ฌ็อง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงเมื่อวานนี้ (11 มกราคม) ว่า ทีมผู้ช่วยของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พบเอกสารลับทางราชการชุดที่ 2 ในสถานที่แห่งที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีไบเดน แต่ไม่ชัดเจนว่า เอกสารลับชุดที่ 2 ดังกล่าว พบในที่ใด และพบเมื่อใด
โฆษกทำเนียบขาวปฏิเสธตอบคำถามเกี่ยวกับเอกสารลับชุดแรก อ้างว่าเรื่องอยู่ระหว่างตรวจสอบโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แล้ว
ด้าน ส.ส. เจมส์ คัมเมอร์ พรรครีพับลิกัน ประธานคนใหม่ของคณะกรรมาธิการตรวจสอบ ในสภาผู้แทนสหรัฐฯ ชุดใหม่ ที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้เริ่มการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว โดยคณะกรรมาธิการตรวจสอบกำลังตรวจสอบเกี่ยวกับประธานาธิบดีไบเดนและครอบครัว พร้อมกับเรียกร้องให้ทำเนียบขาวส่งคืนเอกสารและการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารลับของไบเดน
ทั้งนี้ คณะกรรมมาธิการตรวจสอบ สภาผู้แทนสหรัฐฯ (House Oversight Committee) ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำหน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐบาลสหรัฐฯ
กฎหมายสหรัฐฯ กำหนดให้เอกสารทุกอย่างของทำเนียบขาว รวมถึงเอกสารลับ จะต้องถูกส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ หลังจากที่วาระของรัฐบาลสิ้นสุดลง
---เอกสารลับ “10 ฉบับ” ก่อนหน้า---
ก่อนหน้านี้ มีการพบเอกสารลับชุดแรก จำนวน 10 ฉบับ ที่สำนักงานเก่าส่วนตัวของไบเดน ตั้งอยู่ในศูนย์คลังสมอง เพนน์ ไบเดน ในกรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงสหรัฐฯ ตั้งอยู่ใกล้กับทำเนียบขาวห่างไปเพียง 1.6 กิโลเมตร ไบเดนได้ใช้สำนักงานแห่งนี้ หลังจากที่เขาหมดวาระการเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา
เอกสารลับชุดแรกพบตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่เพิ่งเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยทีมกฎหมายของไบเดน เป็นผู้พบเอกสารลับดังกล่าว วันที่บนเอกสารลับอยู่ในสมัยที่ไบเดนเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื้อหาในเอกสารลับชุดแรก เป็นบันทึกข้อมูลข่าวกรองและเอกสารรายงานสั้นเกี่ยวกับยูเครน อิหร่าน และสหราชอาณาจักร
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีไบเดนแสดงปฏิกิริยาเมื่อวันอังคาร (10 มกราคม) ที่ผ่านมา 1 วันหลังข่าวพบเอกสารลับชุดแรกถูกเปิดเผยออกมา โดยแสดงความประหลาดใจ และยืนยันว่า กำลังให้ความร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในการตรวจสอบเรื่องนี้
เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้เริ่มสอบสวนกรณีพบเอกสารลับทางราชการ ที่สำนักงานเก่าส่วนตัวของไบเดนแล้ว ขณะที่สื่อมวลชนรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังสอบสวนเพิ่มเติมว่า ยังมีเอกสารลับอื่น ๆ ในสถานที่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีไบเดนอีกหรือไม่ และล่าสุดก็ได้พบเอกสารลับชุดที่ 2
---เอกสารลับอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์”---
ด้านอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก็กำลังถูกสอบสวนทางอาญา เกี่ยวกับการนำเอกสารลับของราชการ ไปเก็บไว้ในรีสอร์ตส่วนตัว หลังจากเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สำนักสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ FBI ได้บุกเข้าค้นบ้านพักในรัฐฟลอริดาของทรัมป์ และยึดได้เอกสารมากกว่า 10,000 แฟ้ม ที่ทรัมป์ไม่ได้ส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า กรณีพบเอกสารลับของทรัมป์ กับของไบเดน แตกต่างกันในหลายประการ ตั้งแต่เรื่อง จำนวนเอกสารที่พบ, ประเภทของเอกสาร และสถานที่ที่พบเอกสารเหล่านี้
ด้าน “จำนวน” จากข้อมูลของทนายความส่วนตัวของไบเดน ที่พบเอกสารชั้นความลับ 10 หน้านี้ และบางแผ่นติดข้อความว่า Top Secret หรือ ลับที่สุด รวมถึงมีกล่องที่มีเอกสารและสิ่งอื่น ๆ ด้วย ซึ่งแตกต่างจากเอกสารชั้นความลับมากกว่า 325 หน้า ที่บางส่วนมีข้อความว่า Secret and Top Secret แปะไว้ ที่พบในรีสอร์ต มาร์ อะ ลาโก ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในรัฐฟลอริดาเมื่อปีที่แล้ว
ส่วนสถานที่ สถานที่พบเอกสารของไบเดน คือ สถาบันคลังสมอง ที่ไบเดนใช้เป็นสำนักงาน ขณะทื่ของทรัมป์ พบที่รีสอร์ทส่วนตัว แต่นักวิเคราะห์ก็บอกว่า ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะอดีตปรธานาธิบดีทรัมป์มักจะไม่แยกเรื่องธุรกิจกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน
นอกจากนี้ ยังรวมถึงประเด็นเรื่อง “การส่งคืน” ด้วย ซึ่ง กรณีที่พบเอกสารของไบเดนในสำนักงานเก่า ที่ตั้งอยู่ในศูนย์คลังสมองเพนน์ ไบเดน และได้แจ้งต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ หลังจากพบเอกสารดังกล่าว รวมทั้งได้ส่งมอบเอกสารเหล่านั้นให้แก่หอจดหมายแห่งชาติไปแล้ว พร้อมระบุว่า กำลังให้ความร่วมมือกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในการตรวจสอบเรื่องนี้
ส่วนในกรณีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แตกต่างออกไป โดยทรัมป์ได้เก็บเอกสารของทางราชการรวมหลายพันหน้า ในจำนวนนี้ มีหลายร้อยหน้าที่ถูกระบุว่าเป็นเอกสารลับ ทั้งหมดถูกเก็บมานานกว่า 1 ปีอยู่ที่มาร์-อะ-ลาโก หลังจากที่ทรัมป์ออกจากทำเนียบขาวแล้ว และไม่ได้ส่งคืนในทันทีหรืออย่างเต็มใจ แม้ว่าทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้ร้องขอไปหลายครั้ง
————
แปล-เรียบเรียง: สุภาพร เอ็ลเดรจ
ภาพ: Reuters
ข้อมูลอ้างอิง: