ผ่าแผนสร้างเรือทรัมป์ประจัญบาน (Trump-class battleship) ในวันที่ทั้งโลกไม่ทำเรือประจัญบานกันอีกแล้ว

โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศแผนสร้าง “Trump-class Battleship” หรือเรือประจัญบานชั้นทรัมป์ โดยมีเรือลำแรกใช้ชื่อว่า ยูเอสเอส ดิไฟแอนต์ (USS Defiant) พร้อมนิยามว่าเป็นการ “คืนชีพความเกรียงไกรของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา” แต่คำถามที่สำคัญก็คือ แผนการในครั้งนี้จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด
ข้อมูลเรือรบทรัมป์ - เรือประจัญบานยุคใหม่
ระวางขับน้ำ มากกว่า 35,000 ตัน
ลูกเรือ 650-850 นาย
ความยาวตัวเรือ (Length) 260–270 เมตร
ความกว้างลำตัวเรือ (Beam) 32–35 เมตร
ระยะกินน้ำลึก (Draft) 7.3–9.1 เมตร
แหล่งพลังงานไฟฟ้า 100% (FEP: Full Electric Propulsion)
ความเร็วเรือ มากกว่า 30 น็อต (kn) หรือประมาณ 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระบบอาวุธ (Armament)
ขีปนาวุธ (Missile)
ขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ภาคพื้นดินแบบร่อน (Surface Launch Cruise Missile Nuclear: SLCM-N)
ท่อยิงระบบโจมตีฉับพลันที่ไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์ หรือ CPS (Conventional Prompt Strike) จำนวน 12 ท่อยิง
ระบบท่อยิงขีปนาวุธแนวตั้ง (Vertical launching system: VLS) แบบ Mk 41 จำนวน 128 ท่อยิง
ปืน (Gun)
ปืนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (Electro-Magnetic Laboratory Railgun) กำลัง 32 เมกะจูล (MJ) 1 ระบบ
ปืนใหญ่วิถีโค้งความเร็วเหนือเสียง (hypervelocity projectile gun) ขนาดลำกล้อง 5 นิ้ว จำนวน 2 กระบอก
ระบบเลเซอร์กำลังขับ 300 หรือ 600 กิโลวัตต์ (kW) จำนวน 2 ระบบ
ระบบอื่น ๆ
ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะประชิดแบบ RIM-116 (Rolling Airframe Missile) 2 ระบบ
ปืนกลเรือขนาด 30 มม. 4 กระบอก
เลเซอร์ต่อต้านโดรนแบบ AN/SEQ-4 ODIN จำนวน 4 ระบบ
ระบบต่อต้านโดรนผิวน้ำและอากาศยานแบบใหม่ 2 ระบบ
ความล้มเหลวในการหาเรือใหม่มาแทนที่เรือประจัญบานของอเมริกา
การใช้งานเรือประจัญบานจบลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากต้นทุนการเดินเรือที่สูงขึ้น ขนาดที่ใหญ่เกินความจำเป็น เมื่อเทียบกับเรือฟริเกต (Frigate) และเรือชั้นอื่น ๆ ที่แม้จะมีขนาดเล็กลง แต่ยังคงรักษาขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางการทหารได้ด้วยระบบขีปนาวุธและระบบต่อต้านเรือดำน้ำที่ทันสมัยมากขึ้น
ทั้งนี้ เรือประจัญบาน 2 ลำสุดท้ายของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา คือเรือยูเอสเอส มิซซูรี (USS Missouri) และยูเอสเอส วิสคอนซิน (USS Wisconsin) ต่างปลดประจำการไปตั้งแต่ปี 1990 และ 1992 ซึ่งมีแผนแทนที่ด้วยเรือลาดตระเวนยุคใหม่ (Next Generation Cruiser) หรือ CG(X)
ต่อมาในปี 2010 CG(X) ถูกยกเลิกเนื่องจากข้อจำกัดทางวิศวกรรมที่ใช้รากฐานจากเรือลาดตระเวน ก่อนแทนที่ด้วยโครงการเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถียุคใหม่ (Next-Generation Guided-Missile Destroyer) ที่มีชื่อย่อคลาสว่า DDG(X) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรือพิฆาตชั้นซูมวอลท์ (Zumwalt-class destroyer) ที่เชื่อว่าจะมีความสามารถที่หลากหลาย รวมถึงสามารถลอบเร้น (Stealth) จากเรดาร์ได้
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภายในประเทศและการออกแบบ ทำให้ต้นทุนทั้งโครงการของเรือชั้นซูมวอลท์พุ่งทะยานเป็น 22,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท และประสิทธิภาพก็ไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ ยุติการผลิตจากแผนการผลิตเรือ DDG ชั้นซูมวอลท์ ทั้งหมด เหลือประจำการเพียง 3 ลำ จากแผนการผลิตทั้งหมด 32 ลำ
เรือประจัญบานยุคใหม่ของอเมริกา ในวันที่ทั้งโลกเลิกผลิตไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ โครงการเรือประจัญบานชั้นทรัมป์ จึงกลายเป็นโครงการที่หวังว่าจะมาแทนที่การพัฒนาเรือ DDG(X) ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ภายใต้โครงการใหม่ที่ชื่อว่า “Golden Fleet” ซึ่งจะดึงผู้ผลิตชิ้นส่วน หรือซัพพลายเออร์ (Supplier) มากกว่า 1,000 รายจากทั่วประเทศมาผลิตเรือ โดยหวังเร่งฟื้นฟูและสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ตามแถลงข่าวของกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า เรือรบในชั้นนี้จะเรียกชื่อย่อว่า BBG ซึ่งมีแผนที่จะผลิตขึ้นมาทั้งหมด 10 - 25 ลำ และให้เรือลำแรกมีชื่อว่า ยูเอสเอส ดิไฟแอนต์ (USS Difiant, เป็นปฏิปักษ์) เพื่อเข้าประจำการในปี 2050 นี้ ซึ่งเป็นที่น่าจับตาว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง สหรัฐอเมริกาจะเป็นเพียงชาติเดียวในโลกที่นำเรือประจัญบานกลับมาประจำการในกองทัพอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
