เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัว Sideways โดยปัจจัยกดดันคือ DELTA ที่มี Big Lot ราคา 94 บาทต่ำกว่ากระดานราว 10% อย่างไรก็ตามคาดชดเชยได้จากหุ้นกลุ่มอื่นๆที่มีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้นจากบรรยากาศการลงทุนทีผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคืนนี้คือตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯเดือน ส.ค. ตลาดคาด Core PCE +0.2% m-m, +3.9% y-y ชะลอจากเดือนก่อนหน้า หากออกมาไม่สูงกว่าคาด เราเชื่อว่าจะช่วยทำให้ความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะยาวคลายตัวลงบ้าง
ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย. สัปดาห์หน้า หากยังทรงตัวในระดับต่ำและอยู่ในกรอบล่างของเป้าหมาย 1-3% ของธปท. เราคาดว่าจะตัวช่วยบรรยากาศการลงทุนเช่นกัน หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ได้แก่ พลังงานต้นน้ำ การแพทย์ สื่อสารฯ ธนาคาร จากแนวโน้มกำไร 3Q23 ที่แข็งแรง ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะถัดไปจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาใน 4Q23-2024 ทั้งการช่วยเหลือค่าครองชีพ พักหนี้เกษตรกร การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 3Q23 แข็งแกร่ง//ถือลงทุนต่อเนื่องหลังและพิจารณาสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหา Low เดิม 1,460+- จุด
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : AOT, CPALL, CPN, NSL, TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : OPS
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33 บาท
• คาดกำไรสุทธิ 3Q23 มีโอกาสลุ้นทรงตัวได้แม้เป็น Low Season โดยรายได้ในประเทศคาดชะลอ q-q แต่คาดยังโตได้ y-y ขณะที่ฝั่ง Margin โอกาสฟื้นตัวจากต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะก๊าซที่ปรับลง
• เรายังคาดกำไรปกติปี 2023-24 ที่ 2.5 พันลบ. +29% y-y และ 2.9 พันลบ. +19% y-y ตามลำดับ ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกือบ 20% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ 2024PER ลดเหลือเพียง 25 เท่า ขณะที่ทางเทคนิค RSI ส่งสัญญาณ Oversold อย่างมาก มีโอกาสเห็นการรีบาวด์
• แนวรับ 24.40//24 บาท แนวต้าน 25//26//27 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ อาจ rebound เพราะลงหนัก แต่ยังเสี่ยงลงต่อ ตลาดยังไร้ปัจจัยบวกหนุน ต่างประเทศ ยังคงกังวลเรื่องดอกเบี้ย หาก Bond Yield ยังอยู่ในระดับสูง และนักลงทุนรอดูตัวเลข PCE สหรัฐในคืนนี้ ซึ่งอาจจะมีผลต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ
• ราคาน้ำมันเริ่มถูกจำกัดการขึ้น (ล่าสุด Brent $93.1 เหรียญ) แต่ปัญหาในเรื่องการตึงตัวด้าน supply ยังกดดันตลาดอยู่ต่อไป
• เงินบาทยังอ่อนค่า (ล่าสุด 36.7 บาท/ดอลลาร์) เป็นลบต่อตลาด เงินบาทที่อ่อน บวกกับดอกเบี้ยขึ้น น้ำมันแพง และมาตรการรัฐบาล จะทำให้กำไรตลาดหุ้นปีนี้ต่ำกว่าคาดไว้ที่ 1.00 ล้านล้านบาท รวมถึงกำไรไตรมาส 3 ที่จะออกมาในรอบนี้
• นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทยวานนี้(28) Net Sell 2.7 พันล้านบาท
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ธปท.รายงานเศรษฐกิจไทย และอัตราเงินเฟ้อของอียู
Strategy
• วันนี้ อาจมี rebound เพราะวันก่อนมีเรื่องของการปิดสัญญา series U ของ Futures วานนี้(28) แต่เรายังแนะให้ถือเงินสดไว้ก่อน รอจังหวะซื้อหุ้น เพราะกังวลว่า แรงขายของกลุ่มที่เล่น margin อาจตามมาหลังดัชนีฯ ปรับตัวลงมาแล้วถึง 6% ในเดือนนี้
• ตลาดยังมีปัจจัยลบรออยู่หลายตัว (เงินบาทอ่อน-ดอกเบี้ยขึ้น) กระทบต่อบริษัทที่มีภาระหนี้สูง หรือมีหนี้ต่างประเทศ แต่อาจมีบางกลุ่มที่กำไรดียังพอจะเล่นได้ อาทิ ผู้ผลิตน้ำมัน (PTTEP) หรือถ่านหิน(BANPU)
• นักลงทุนอาจเลือกพักเงินไว้ในหุ้นที่กำไรไม่ถูกกระทบอย่างมีนัยยะจากที่กล่าวไปข้างต้น และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี ได้แก่ PTT, INTUCH, DMT, SIRI
• พอร์ตหุ้นวันนี้ คงหุ้นเดิมไว้ทั้งหมด พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย TLI*(10%), SPRC(10%), ITC(10%), BH(10%), ICHI(10%)
Strategy Stock Pick
BH: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 272 บาท) “ กำไร 3Q สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ”
• แนวโน้มการเติบโตใน 2H23E มีการเติบโตดีกว่า 1H23 จากการเข้าสู่ช่วง high season จากฤดูฝน และความต้องการของลูกค้าต่างชาติที่จะเดินทางมารักษาที่ BH ยังอยู่ในระดับสูง ประเมินว่า กำไรสุทธิ 3Q23E อยู่ที่ 1,955 ล้านบาท (+30% YoY, +12% QoQ)
• BH มีการขยายกำลังการรับผู้ป่วยเพิ่ม ทั้งเพิ่มเตียงในห้อง ICU และโครงการที่จะทำรายได้ในปีต่อๆไป อาทิ โครงการตึก Annex (ศูนย์สตรีและเด็ก) และ โครงการรพ. ภูเก็ต (BIH Phuket)
• ความสามารถในการทำกำไร เพิ่มขึ้นตามกำไร ทั้งนี้ Net Profit Margin ที่ขยับจาก 21% เป็น 28% (เทียบช่วง 6 เดือนแรก กับปีก่อน)
Technical: NCAP, SICT
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด SET Index แกว่งตัวโดยมีกรอบแนวรับ 1,480-1,475 แนวต้าน 1,485-1,495 คาดภาพรวมยังถูกกดดันจาก Fund Flow ที่ชะลอตัว นักลงทุนกังวลต่อบอนด์ยีลด์ที่พุ่งขึ้นและการคงดอกเบี้ยสูงในระยะยาว ส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบ้านที่อ่อนค่า แนะนำทยอยซื้อกลุ่มที่ยังได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว เช่น ท่องเที่ยว AOT, ERW (เปิดอาคาร SAT-I +ฟรีวีซ่า นทท.จีน) อิเล็กฯ+อาหาร KCE, HANA, TU (บาทอ่อน + คู่ค้าเริ่มทยอยกลับมาสต๊อกสินค้า) ประกันฯ BLA, TLI, TQM (บอนด์ยีลด์ขึ้น) โรงพยาบาล BH, BDMS, VIBHA (High Season)
ERW* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 6.10 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2H66 ฟื้นตัวต่อเนื่องสะท้อนจาก RevPAR เดือน ก.ค.-ส.ค.ที่สูงขึ้นเทียบทั้ง QoQ, YoY โดย Occ.Rate ของโรงแรมที่ไม่รวม Hop Inn ที่ยืนสูงราว 85% และ Hop Inn ในไทย / โรงแรมในฟิลิปปินส์ อยู่ที่ราว 80-81% ส่วน ADR ก็ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน (RevPAR = ADR x Occ / รายได้ = RevPAR x จำนวนห้อง x 365) โดย RevPar ที่สูงกว่าช่วง Pre-covid สะท้อน Demand ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แข็งแกร่ง แม้ในเดือน ก.ย.อาจจะชะลอลง MoM บ้างตาม seasonal แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 3Q66 จะออกมาดี ดังนั้นคาดการณ์ได้ว่าทิศทางรายได้และกำไรจาก 3Q66-1Q67 จึงอยู่ในทิศทางบวกสดใส นอกจากนี้คาดว่าจะเป็นตัวที่ได้ประโยชน์จากการเปิดฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเพราะอดีตมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนสูงและทำเลส่วนใหญ่อยู่ใน กทม.
MC* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 15.30 บาท) ภาพรวมผลประกอบการงบปี66(ก.ค.65-มิ.ย.66) มีแรงหนุนในสินค้าประเภทFashion จากการกลับเข้าสู่ชีวิตปกติ PostCovid-19 และการกลับมาของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้กำไรสุทธิของ MC* อยู่ที่ 644 ลบ.(+32.5%YoY) ส่วนการดำเนินงานช่วงถัดไป ทาง MC* เองวางงบลงทุนปี67(ก.ค.66-มิ.ย.67) ที่ 100 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ 40 สาขา แบ่งเป็น ร้านค้าปลีกของตนเองในช่องทางห้างฯ10 สาขา และ Mc Outlet 30 สาขา วางเป้ารายได้เติบโตราว +10-17% ทั้งจาก SSSG ที่คาดว่าจะเติบโตได้ double digit% และยอดขายสาขาใหม่ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี67 และ ปี68 ของ MC* ที่ 712 ลบ.(+10.7%YoY) และ 802 ลบ.(+12.6%YoY) ตามลำดับ)