รีเซต

รองประธาน กมธ.กาสิโน ลั่นต้องปฏิรูปพนันทุกมิติ ชี้ทุกวันนี้ไม่ไปบ่อนก็พนันได้

รองประธาน กมธ.กาสิโน ลั่นต้องปฏิรูปพนันทุกมิติ ชี้ทุกวันนี้ไม่ไปบ่อนก็พนันได้
ข่าวสด
12 ธันวาคม 2564 ( 14:26 )
50
รองประธาน กมธ.กาสิโน ลั่นต้องปฏิรูปพนันทุกมิติ ชี้ทุกวันนี้ไม่ไปบ่อนก็พนันได้

“รองประธาน กมธ.กาสิโน” แนะการพนันจะต้องปฏิรูปในทุกมิติ ชี้ทุกวันนี้ไม่ไปบ่อนก็เล่นพนันได้ เผยหากต้องมีการตัดสินใจสร้าง Entertainment Complex ก็ต้องถามประชามติก่อน

 

เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร ในรูปแบบเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ เพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ กล่าวถึงการทำงานของคณะ กมธ.วิสามัญฯ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและศึกษาเกี่ยวกับการพนันว่า ตนมองว่าขณะนี้เรื่องการพนัน มีความจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปในทุกมิติ

 

เนื่องจากว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและรูปแบบของการพนัน ทำให้ประชาชนทุกวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องไปบ่อนการพนัน แต่สามารถทำให้รายได้หายไปในพริบตา เพราะการพนันออนไลน์ในหลายล้านเว็บไซต์จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ ว่า ประชาชนและเยาวชนจำนวนหนึ่งต้องตกเป็นเหยื่อของการพนันออนไลน์ ซึ่งจำเป็นจะต้องหามาตรการป้องกันเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

 

ในส่วนของกฎหมายที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับการพนันโดยตรงก็คือ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมล่าสุด พ.ศ. 2505 นั้น ล้าสมัยและไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี รวมทั้งยังไม่มีบทบัญญัติที่เหมาะสมในการแบ่งปันผลประโยชน์หรือจัดเก็บภาษีให้กับประเทศและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด–19 ซึ่งรัฐบาลได้มี

 

การออกพ.ร.ก.เพื่อกู้เงินเพื่อนำมาดูแลประชาชนให้ผ่านพ้นวิกฤตดังกล่าว ซึ่งภายหลังจากสถานการณ์ผ่านพ้นไป ก็จะต้องหาวิธีการนำเงินมาชดใช้คืนเพื่อรักษาสมดุลทางการเงินของประเทศ ดังนั้นวิธีการเปิดสถานบริการในรูปแบบ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ ที่ภาครัฐเข้าไปควบคุมดูแลเหมือนกับในหลายๆ ประเทศนั้น ก็ถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการหารายได้เข้าประเทศในสถานการณ์ที่ต้องการหารายได้อย่างรวดเร็วในการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งจะได้มีการหารือกันในกมธ. ต่อไป

 

นายชัยชนะ กล่าวต่อวา ตนมีข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการเรื่องการพนัน โดยในขั้นแรกจะต้องมีการควบคุมกำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอาจจะใช้หน่วยงานที่มีอยู่แล้ว เช่น กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในการวางกฎเกณฑ์และวิธีการขอใบอนุญาตการเล่นการพนัน โดยให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ก็สามารถวางพิกัดอัตราภาษีได้ เพราะการสถานบริการแบบ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์นั้น เข้าข่ายเป็นบริการที่มีความฟุ่มเฟือยและสร้างผลกระทบต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

 

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.)จะต้องมีมาตรการและวางหลักเกณฑ์ในการเปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพนันหรือควบคุมไม่ให้มีการส่งลิงค์ที่เกี่ยวข้องในช่องทางโซเซี่ยลมีเดียต่างๆ เพื่อสร้างความเดือดร้อนรำคาญต่อประชาชน ต่อมาจะต้องกำหนดสัดส่วนการลงทุนในการจัดสร้างสถานที่ที่เหมาะสมในการเกิดสถานบริการรูปแบบดังกล่าว โดยอาจจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด และแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ อย่างเช่น ผลกำไรจากการประกอบกิจการ จะต้องแบ่งออกเป็นผลประโยชน์เข้าภาครัฐเป็นจำนวน ร้อยละ 49 และสัดส่วนร้อยละ 51 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ

 

นายชัยชนะ กล่าวต่อ่า จากนั้นจะต้องกำหนดคุณสมบัติสำหรับผู้เข้าใช้บริการ โดยพื้นฐานจะมีการจำกัดอายุผู้เล่น กำหนดรายได้ที่เหมาะสม จำกัดเวลาการเล่น รวมทั้ง วางกฎระเบียบเพื่อควบคุมไม่ให้มีเหตุการณ์ร้ายแรงหากเข้าไปใช้บริการ ทั้งนี้ ผมอยากให้มีการทดลองในพื้นที่ที่มีศักยภาพความเป็นเมืองและการท่องเที่ยวสูง โดยอาจจะแบ่งเป็นภาคละ 3 แห่ง และมีการประเมินกิจการในทุกๆ 3 เดือน

 

ในส่วนของการพนันที่เกี่ยวข้องกับวิถีชาวบ้านและงานมหรสพต่างๆ นั้น ก็จะต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนถึงกฎเกณฑ์ในการขอใบอนุญาต รูปแบบการเล่น และจำนวนคนที่เข้าร่วม ซึ่งผมคิดว่า การตั้งเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ภายในประเทศไทยนั้น ถือว่า เป็นการลดปัญหาการนำเงินไหลออกนอกประเทศ และเป็นการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก ให้กลับมาคึกคักและมีเงินหมุนเวียนภายในประเทศอีกเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้จะต้องฟังเสียงประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงอีกด้วย

 

นายชัยชนะกล่าวต่อด้วยว่า เนื่องจากการตั้ง กมธ.วิสามัญในเรื่องดังกล่าว ก็มีเสียงสะท้อนอย่างหลากหลาย โดยแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นที่ตั้งอยู่บนความปรารถนาดีของประเทศ ทั้งฝ่ายสนับสนุนที่ต้องการเอาสิ่งที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม นำมาเป็นผลประโยชน์ให้กับประเทศ เหมือนกับสลากกินแบ่งรัฐบาล และฝ่ายคัดค้านที่มองว่า จะเป็นการมอมเมาและสร้างทัศนคติที่ไม่ดีต่อการดำรงชีวิตของประชาชน

 

ดังนั้นการทำงานของ กมธ.ฯ จึงจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการทำงาน โดยจำเป็นจะต้องมีการเชิญแต่ละฝ่ายมาให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นว่า จะเดินหน้ากันอย่างไร เพราะจะต้องมีการชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสีย และผลกระทบหากมีการดำเนินการเปิด เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ไปแล้ว และสุดท้ายหากจำเป็นจะต้องตัดสินใจจริงๆ ตนก็เห็นว่า กรณีแบบนี้ ถือว่าเข้าข่ายตามมาตรา 166 ของรัฐธรรมนูญฯ และมาตรา 9 วรรคสอง (4) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ซึ่งจะต้องให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินใจว่า จะให้มีการเกิด เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ หรือไม่อีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง