‘ปวีณา’ พาน.ศ.ปี1ผู้เสียหายเข้าพบ 'ผกก.สภ.ลำลูกกา'หลังจับคนร้ายก่อเหตุดักฉุดพาไปล่วงละเมิด
เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี ได้พานางสาวก้อย อายุ 20 ปีนักศึกษาปี1 มหาวิทาลัยแห่งหนึ่งย่านปทุมธานีผู้เสียหาย พร้อมแม่ เข้าพบ พ.ต.อ.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ ผกก.สภ.ลำลูกกา โดยมี พ.ต.อ.พีรพล โชติกเสถียร รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เข้าร่วมสอบเพิ่มเติม หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังปทุมธานี ได้ร่วมกันจับกุมนายปัญญา หรือแจ อ่วมทองบัว อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลธัญบุรี เลขที่ 52/2565 ลงวันที่ 22 ม.ค.2565 ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวัดปทุมธานีจับกุมได้ที่บ้านพักไม่มีเลขที่ริมคลองมะดันซอยวัดบางกะดี ม.4 ต.บางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี นำควบคุมตัวส่ง สภ.ธัญบุรี หลังจากที่พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จ จึงควบคุมตัวไปทำแผนประกอบรับคำสารภาพยังจุดที่เกิดเหตุ
ย้อนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 21.00 น. น.ส.ก้อย กล่าวว่าหลังเลิกงานพาร์ทไทม์ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี ตนได้ขับมอไซด์กลับบ้านโดยใช้เส้นทางลัดมาทางคลองแอน8ซึ่งจะใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ เมื่อขับมาถึงบริเวณกลางทางคลองแอน8 ก่อนถึงสี่แยกมุ่งหน้าไปทางวัดดอนใหญ่ ตนสังเกตว่ามีรถกระบะสีดำยกสูง ขับตามหลังมา ขับมาปาดหน้าเมื่อตนหยุดรถมีคนร้ายเป็นชาย 2 คน รูปร่างอ้วน 1คน ผอม 1 คน ผิวดำแดง อายุประมาณ 30 ปี ลงมาจากรถกระบะและบังคับขู่ให้ขึ้นรถกระบะ จากนั้นคนร้าย รูปร่างผอม ที่นั่งมาด้วยได้ขับมอไซด์ของตนตามรถกระบะไป ส่วนตนถูกบังคับให้นั่งอยู่กับคนร้าย รูปร่างอ้วน ตนยกมือไหว้ขอชีวิตว่า พี่อย่าทำอะไรหนูเลย ปล่อยหนูไป ถ้าพี่อยากได้อะไรให้พี่เอาไปเลย คนร้ายแสดงท่าทีไม่พอใจและพูดว่าเริ่มหงุดหงิดแล้วนะถามเยอะเดี๋ยวจะไม่ได้กลับบ้าน ด้วยความกลัวตนจึงไม่กล้าที่จะขัดอะไรมากเพราะกลัวถูกฆ่า เมื่อขับมาถึงบริเวณเส้นทางคลอง9 ระหว่างวัดสมุหราฎษร์กับวัดลานนา ร้ายร้ายได้ขู่ให้เอาแมสปิดตาไว้เพื่อไม่ให้เห็นทางอยู่นาน เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุคนร้ายได้โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนที่ขับมอไซด์ของตนตามมาว่าให้รออยู่ที่ทางโค้งแต่ไม่รู้ว่าโค้งตรงไหน จากนั้นคนร้ายได้ให้ตนลงมาจากรถกระบะและให้จับบ่าคนร้ายเดินเข้าไปห้ามเปิดแมสคนร้ายใช้กุญแจเปิดห้องเข้าไปและให้ตนนั่งลง ตนได้ยินเสียงคนร้ายคล้ายกับดมอะไรสักอย่างก่อนลงมือข่มขืน ตอนนั้นตนไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะสั่นกลัวไปหมดได้แต่ร้องไห้และยกมือไหว้ขอชีวิตแต่คนร้ายก็ไม่ยอม หลังจากที่ข่มขืนตนเสร็จ คนร้ายออกไปนอกห้องและตนได้ยินเสียงรถมอไซด์มาจอด ตนจึงแอบเปิดแมสดูภายในห้องสังเกตเห็นว่ามีที่นอนกับพัดลมส่วนสิ่งของอื่นมีแต่ตนต้องรีบปิดแมสเพราะกลัวคนร้ายจะมาเห็น จากนั้นคนร้ายได้พาออกมาจากบ้านและให้ขึ้นไปนั่งบนรถกระบะเหมือนเดิม ก่อนนำมาปล่อยทิ้งไว้บริเวณโรงปูนคลอง9 เวลาประมาณ 22.50 น. และยึดโทรศัพท์กับเงินในกระเป๋าที่มีติดตัว 300 กว่าบาท จากนั้นคนร้ายได้จดเบอร์โทรศัพท์ให้ น.ส.ก้อย พร้อมกับบอกว่าพรุ่งนี้เช้าให้ตนโทรศัพท์ไปหาคนร้ายหากต้องการโทรศัพท์ของตนคืนก่อนให้ตนเปิดแมส ส่วนคนร้ายอีกคนขับรถมอไซด์ของตนตามมาคืนให้ แต่ตนไม่รู้ทางคนร้ายบอกให้ตนขับเลี้ยวซ้ายไปตามทางจนตนเจอป้ายวัดดอนใหญ่และขับเลียบคลองมากระทั่งมาออกเส้นทางธัญบุรีคลอง8 เวลาประมาณ 23.12 น. จึงได้ไปขอยืมโทรศัพท์ร้านก๋วยเตี๋ยวโทรแจ้งแฟนและแม่ทราบ พาเข้าแจ้งความทันที
ส่วนนายปัญญา หรือแจ อ่วมทองบัว อายุ 33 ปี (ผู้ต้องหา)ยอมรับสารภาพว่าที่ตนเองทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบและเจอผู้เสียหายโดยบังเอิญจึงขับรถปาดหน้าและฉุดผู้เสียหายขึ้นรถกระบะไปข่มขืนที่บ้านจากนั้นก็ได้นำผู้เสียหายมาส่งที่ข้างพร้อมทั้งนำโทรศัพท์ของผู้เสียไปด้วยและได้โยนทิ้งในคลองประปาจากนั้นตนเองก็ได้หลบหนีไปจนมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว
ทางด้านนางปวีณา หงสกุล กล่าวว่าต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในเวลาที่ไม่นาน เนื่องจากตนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตลอดเวลาแต่เนื่องจากขั้นตอนของการสืบสวนที่จะจับกุมคนร้ายนั้นเป็นไปได้ยาก ปัญหาที่สำคัญคือกล้องวงจรปิดและไฟแสงสว่างตามท้องถนนยิ่งเป็นกล้องวงจรปิดของทางราชการเสียหมดเวลาต้องการใช้เป็นข้อมูลก็ต้องอาศัยกล้องวงจรปิดตามบ้านเรือนประชาชน ก็ยากให้ภาครัฐเห็นความสำคัญในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ควรจะมีกล้องวงจรปิดและไฟแสงสว่างให้ถั่วถึง ก็จะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน
พ.ต.อ.วิวัฒน์ อัศวะวิบูลย์ ผกก.สภ.ลำลูกกา กล่าวว่าในการตามจับผู้ต้องหารายนี้ต้องหาพยานหลักฐานมากโดยเฉพาะกล้องวงปิด รวมทั้งไฟแสงสว่างตามจุดต่างๆที่เป็นช่องทางหลังก่อเหตุได้หลบหนี ซึ่งผู้ต้องหารายเพิ่งออกจากคุกมาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และก็มาก่อเหตุขึ้นอีก