ออสเตรเลียขับเอกอัครราชทูตอิหร่านออกนอกประเทศ หลังพบเชื่อมโยงเหตุต่อต้านยิว

ทางการออสเตรเลียประกาศขับ อาหมัด ซาเดกี เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงแคนเบอร์ราและเจ้าหน้าที่ทางการทูตอีก 3 คน ออกจากประเทศ หลังจากที่หน่วยข่าวกรองออสเตรเลียพบหลักฐานว่า “อิหร่าน” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีต่อต้านยิวที่เกิดขึ้นในดินแดนของออสเตรเลียอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยได้ออกคำสั่งให้เอกอัครราชทูตและนักการทูตจากอิหร่านกลุ่มนี้จะต้องออกนอกออสเตรเลียภายใน 7 วัน นับจากนี้ แต่ทางการอิหร่านยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นตอกรณีดังกล่าว 

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนสซี ของออสเตรเลียแถลงโดยอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานข่าวกรองด้านความมั่นคงภายในประเทศของออสเตรเลีย (ASIO) ที่เปิดเผยว่า กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม หรือ IRGC ของอิหร่านมีความเชื่อมโยงกับเหตุลอบวางเพลิง 2 ครั้งเมื่อปีที่แล้วโดยในครั้งแรกเจาะจงเป้าหมายร้านอาหารในนครซิดนีย์ที่มีชาวยิวเป็นเจ้าของร้านและเปิดทำการมานานกว่า 50 ปี ส่วนอีกครั้งหนึ่งเป็นการลอบวางเพลิงโบสถ์ยิวในนครเมลเบิร์น ซึ่งอัลบาเนสซีกล่าวด้วยว่าการกระทำเหล่านี้เป็นความอันตรายและเป็นความก้าวร้าวโดยต่างชาติบนแผ่นดินออสเตรเลียและนับเป็น “ครั้งแรก” ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ออสเตรเลียตัดสินใจขับนักการทูตต่างชาติออกนอกประเทศ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี อัลบาเนสซี ยังได้เปิดเผยว่า กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามมีบทบาทสำคัญภายในประเทศรวมถึงการขยายอำนาจของอิหร่านในต่างแดนผ่านการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธในตะวันออกกลางจะถูกจัดให้อยู่ในบัญชีเป็นองค์กรก่อการร้ายในบัญชีของออสเตรเลียด้วยเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ เคยประกาศให้เป็นองค์กรก่อการร้ายเมื่อปี 2019 อัลบาเนสซี ยังได้ย้ำถึงสิ่งสำคัญ 2 ข้อที่ชาวออสเตรเลียต้องการประกอบด้วย ข้อแรกคือการหยุดเข่นฆ่าในตะวันออกกลาง และข้อสองคือชาวออสเตรเลียไม่ต้องการให้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางแพร่อิทธิพลมาถึงประเทศของพวกเขาแต่อิหร่านกลับพยายามทำให้ชุมชนชาวยิวและชาวออสเตรเลียหวาดกลัวและเป็นอันตราย 

อย่างไรก็ตาม ทางการออสเตรเลียยังได้สั่งให้สถานทูตของตนในอิหร่านยุติการดำเนินงานเพื่อความปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่กงสุล ขณะที่ เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย เรียกร้องให้ชาวออสเตรเลียในอิหร่านเดินทางกลับประเทศทันทีเนื่องจากความสามารถของรัฐบาลออสเตรเลียในการปกป้องพลเมืองอาจถูกจํากัดอย่างมาก