4 ฉากทัศน์ การเมืองเขย่าเศรษฐกิจไทย เดินหน้า หยุดนิ่ง หรือถอยหลัง?

การเมืองไม่เคยไร้ผลต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นสถานะถาวร
ช่วงกลางปี 2568 ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่คำว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” กลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากอีกครั้ง เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล เสียงข้างมากในสภากลายเป็นเสียงปริ่มน้ำ แรงกระเพื่อมที่ตามมานั้นไม่ใช่แค่ในรัฐสภา แต่กระทบถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ค่าเงินบาทในตลาดโลก และความสามารถในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยในยามที่ต้องเร่งวิ่งไล่จีดีพี
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CIMB Thai Research ระบุว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจใน 3 ด้านชัดเจน ได้แก่
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคที่เริ่มลดลง
- ความล่าช้าในการใช้งบประมาณประจำปี
- ผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐและจีน
ภายใต้บริบทเช่นนี้ เราสามารถจำลอง "4 ฉากทัศน์การเมือง" ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจในแต่ละทางเลือก
ฉากทัศน์ที่ 1: รัฐบาลรอด แต่เปราะบาง
“รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เดินไปแบบสะดุดทุกขั้น”
หากพรรคร่วมรัฐบาลยังอยู่ครบและประคองเสียงในสภาได้แบบหวุดหวิด รัฐบาลอาจยังบริหารประเทศต่อไปได้ แต่จะเผชิญกับแรงต้านมหาศาลทั้งในและนอกสภา การผ่านกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 จะต้องแลกด้วยดีลทางการเมืองซับซ้อน และกระตุ้นภาพลักษณ์ "แลกอำนาจกับผลประโยชน์"
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
- ความเชื่อมั่นลดลงชัดเจน ทั้งในระดับภาคเอกชนและต่างประเทศ
- ความเสี่ยงจากการจัดตั้งงบประมาณล่าช้า ทำให้โครงการลงทุนรัฐไม่ขยับ
- อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจต่ำกว่าเป้า 2.5% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ในปีนี้
ฉากทัศน์ที่ 2: เปลี่ยนนายกฯ ยกเครื่องทีมใหม่
“เพื่อรักษารัฐบาล แต่เปลี่ยนคนคุมเกม”
มีความเป็นไปได้ว่าภายในพรรคร่วมอาจตกลงกันเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเพื่อดึงพรรคที่ถอนตัวกลับเข้ามาใหม่ รักษาเสียงข้างมากในสภา และฟื้นความมั่นใจ แต่ทางเลือกนี้ย่อมต้องจ่ายราคาทางการเมืองมหาศาล เสี่ยงต่อแรงกดดันจากกลุ่มสนับสนุนเดิม และอาจสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมใหม่
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
- ตลาดอาจตอบรับในเชิงบวกชั่วคราวหากมีภาพความมั่นคงทางการเมืองกลับมา
- แต่ความเสี่ยงในเชิงสังคม-นโยบายจะสูง เช่น ความขัดแย้งจากฐานเสียงเดิม
- ความต่อเนื่องของนโยบายอาจหยุดชะงัก โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3
ฉากทัศน์ที่ 3: ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
“เริ่มใหม่อีกครั้ง กลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ”
หากสถานการณ์ถึงจุดที่รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้ การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่อาจกลายเป็นทางออกสุดท้าย แต่ต้องแลกกับความวุ่นวายทางการเมืองในระยะสั้น และอาจใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพเพียงพอ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
- ค่าเงินบาทอ่อนลงทันทีจากความไม่แน่นอน
- นักลงทุนชะลอการตัดสินใจ โดยเฉพาะ FDI จากญี่ปุ่น-ยุโรปที่ยังรอดูเสถียรภาพ
- กระทบการจัดงบประมาณทั้งระบบ รวมถึงการเบิกจ่ายปี 2569 ที่อาจชะงักหลายเดือน
ฉากทัศน์ที่ 4: รัฐประหารหรืออำนาจพิเศษ?
“เมื่อประชาธิปไตยติดหล่ม และมีเสียงเรียกหา ‘ทางลัด’”
แม้ผู้มีอำนาจหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า "รัฐประหารจะไม่เกิดอีก" แต่ในทางสังคม ยังมีเสียงบางส่วนที่เรียกร้องให้ "จัดระเบียบใหม่" ผ่านอำนาจนอกระบบ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Center for Systemic Peace ระบุว่า ประเทศไทยติดอันดับ 2 ของโลกในการเกิดรัฐประหารสำเร็จถึง 9 ครั้ง และไม่มีครั้งใดที่สร้างเสถียรภาพในระยะยาวได้จริง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
- ไทยจะถูกจัดอยู่ใน "กลุ่มเสี่ยงทางการเมือง" ทันทีในดัชนีโลก เช่น The Economist Democracy Index หรือดัชนี FDI Risk
- ประเทศคู่ค้าสำคัญอาจทบทวนความสัมพันธ์ เช่น สหรัฐและสหภาพยุโรปที่มักชะลอความร่วมมือทางเศรษฐกิจเมื่อเกิดอำนาจนอกระบบ
- การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนหยุดนิ่ง เพราะไม่แน่ใจทิศทางประเทศ
ถ้าการเมืองปั่นป่วน เศรษฐกิจก็ไม่มีวันนิ่ง
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเปราะบางอยู่แล้ว ทั้งจากหนี้ครัวเรือนสูงเกิน 91.3% ต่อ GDP การส่งออกหดตัว และการบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว การเมืองที่ไร้เสถียรภาพจะยิ่งตอกย้ำความเปราะบางนั้นให้ลึกลงไปอีก
คำถามสำคัญคือ เราจะเดินต่อด้วยการประคับประคองอำนาจ หรือจะกล้าเปิดพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสร้างสรรค์? การเมืองที่ดีต้องเริ่มจากอะไร — กติกาใหม่ ผู้นำใหม่ หรือใจใหม่ของทุกฝ่าย?
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
