รีเซต

วิจัยชี้ 'นอนไม่เป็นเวลา' อาจเพิ่มเสี่ยง 'ภาวะสมองเสื่อม'

วิจัยชี้ 'นอนไม่เป็นเวลา' อาจเพิ่มเสี่ยง 'ภาวะสมองเสื่อม'
Xinhua
15 ธันวาคม 2566 ( 16:45 )
18
วิจัยชี้ 'นอนไม่เป็นเวลา' อาจเพิ่มเสี่ยง 'ภาวะสมองเสื่อม'
  (แฟ้มภาพซินหัว : ซิดนีย์โอเปราเฮ้าส์ นครซิดนีย์ของออสเตรเลีย วันที่ 9 ก.ย. 2021) ซิดนีย์, 15 ธ.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันพฤหัสบดี (14 ธ.ค.) งานวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย เผยว่าผู้ที่มีรูปแบบการนอนหลับไม่เป็นเวลาอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ตื่นและนอนหลับแบบเป็นเวลามหาวิทยาลัยฯ ระบุว่าการศึกษานี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าการนอนไม่เป็นเวลาทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม แต่มุ่งแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของสองสิ่งนี้โดยพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความสม่ำเสมอในการนอนหลับกับความเสี่ยงเผชิญภาวะสมองเสื่อมในอนาคต และศึกษาปริมาตรสมองจากการสแกนสมองด้วยนักวิจัยใช้ข้อมูลจากยูเค ไบโอแบงก์ (UK Biobank) เพื่อศึกษาผู้คนจำนวน 88,094 คน อายุเฉลี่ย 62 ปี โดยใช้อุปกรณ์สวมใส่ข้อมือตรวจวัดดัชนีความสม่ำเสมอการนอนหลับ และติดตามผลเป็นเวลาเฉลี่ย 7.2 ปี ซึ่งพบว่าผู้เข้าร่วม 480 คนมีภาวะสมองเสื่อมการศึกษาพบว่าผู้ที่มีรูปแบบการนอนหลับไม่เป็นเวลามากที่สุด มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมสูงที่สุดแมทธิว เพส รองศาสตราจารย์จากคณะจิตวิทยา และสถาบันเทิร์นเนอร์เพื่อสุขภาพสมองและสุขภาพจิตของมหาวิทยาลัยฯ ระบุว่าผลการวิจัยเน้นย้ำความสำคัญของการนอนหลับที่สม่ำเสมอเพสระบุว่าการนอนหลับที่ไม่เป็นเวลาอาจรบกวนนาฬิกาชีวภาพภายในของคนเราที่ควบคุมจังหวะเวลาการทำงานของกระบวนการต่างๆ ของร่างกายตลอด 24 ชั่วโมง อาทิ การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดและไขมัน และการควบคุมความดันโลหิตการหยุดชะงักของจังหวะเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิต เบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง และโรคอ้วน เมื่อรวมกันแล้วปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงกับความเสียหายของหลอดเลือดและการอักเสบในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสื่อมของระบบประสาทและภาวะสมองเสื่อมที่ตามมาดร. สเตฟานี เยียลลูรู ผู้เชี่ยวชาญจากคณะจิตวิทยาและสถาบันฯ ระบุว่าคนเราต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับเป็นเวลาและสุขภาพมากขึ้น หลายคนอาจยังไม่ทราบความเชื่อมโยงของสองสิ่งนี้ เนื่องจากงานวิจัยการนอนหลับส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบระยะเวลาการนอนหลับและผลลัพธ์ด้านสุขภาพ มากกว่ารูปแบบการนอนหลับที่สม่ำเสมอของผู้คนอนึ่ง งานวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ในวารสารประสาทวิทยา ซึ่งเป็นวารสารทางการของสถาบันประสาทวิทยาอเมริกัน (American Academy of Neurology)
 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง