รีเซต

พระปกเกล้าชง 2 โมเดล กก.ปรองดอง หาทางออกประเทศ 'ชวน' เผยทาบ 3 อดีตนายกฯ-ประธานรัฐสภา ร่วม

พระปกเกล้าชง 2 โมเดล กก.ปรองดอง หาทางออกประเทศ 'ชวน' เผยทาบ 3 อดีตนายกฯ-ประธานรัฐสภา ร่วม
มติชน
3 พฤศจิกายน 2563 ( 07:58 )
73
พระปกเกล้าชง 2 โมเดล กก.ปรองดอง หาทางออกประเทศ 'ชวน' เผยทาบ 3 อดีตนายกฯ-ประธานรัฐสภา ร่วม

โครงสร้างและวิธีการทำงานของคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ ที่สถาบันพระปกเกล้าออกแบบยังคงต้องติดตาม เนื่องจากในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะหารือกับผู้นำฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเป็นการภายใน

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่สถาบันพระปกเกล้า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการหารือ กับนายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และผู้บริหารของสถาบัน โดยนายชวนระบุว่า จากที่ได้ให้ทางเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าไปศึกษารูปแบบองค์ประกอบของงานที่จะต้องทำในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง โดยขอให้สถาบันติดตามงานจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ว่ารูปแบบที่เสนอมานั้นมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งทางเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าก็ได้มีการเสนอรูปแบบการแก้ไขปัญหาเป็น 2 รูปแบบ

 

โดยรูปแบบที่ 1 เป็นไปตามที่นายจุรินทร์ เสนอคือมีผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ รวม 7 ฝ่าย เช่น ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล ตัวแทนของวุฒิสภา และตัวแทนขององค์กรอื่น แต่ก็มีจุดอ่อน คือหากฝ่ายใดปฏิเสธไม่ร่วมองค์ประชุมก็จะไม่ครบ หากคุยไม่รู้เรื่องก็ล่ม ไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจจะเสร็จเร็วได้ รวมทั้งถ้ามองผิวเผิน จะมีแค่ฝ่ายรัฐบาลกับวุฒิสภา ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ถือว่าน่ากังวล

 

นายชวน กล่าวต่อว่า รูปแบบที่ 2 มีคนกลางที่มาจากการเสนอของฝ่ายต่างๆ หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้สรรหา หรือแต่งตั้งคณะกรรมการ ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่ากรรมการที่เราไปทาบทามจะรับหรือไม่ เพราะด้วยเป้าหมายของงานเขาก็ต้องดูปัญหาที่เขาจะเข้ามาดูนั้นมันคือเรื่องอะไร อย่างไรก็ตาม จะเอา 2 รูปแบบนี้ไปประสานกับฝ่ายต่างๆ ตามรูปแบบที่ 1 ถ้าเป็นไปไม่ได้ก็จะมาในรูปแบบที่ 2 หรือดึงรูปแบบที่ 1 กับ 2 มาประสานกัน ในส่วนของตัวบุคคล โดยอาจต้องไปถามตัวแทนของฝ่ายต่างๆ ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ หรือคนนอกจะมาร่วมด้วยหรือไม่ เพราะต้องไปคัดคนให้ได้จำนวนไม่มาก แต่มีประสิทธิภาพ เข้าใจปัญหา มองเห็นอนาคตที่ของบ้านเมืองว่าจะมีส่วนลดปัญหาและแก้ปัญหาของบ้านเมืองอย่างไร ซึ่งในวันที่ 3 พฤศจิกายน เป็นไปได้ก็จะไปพูดคุยกับผู้นำฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเป็นการภายในด้วย

 

นายชวน กล่าวว่า ส่วนตัวได้ประสานกับอดีตผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหลายคน เช่น อดีตนายกรัฐมนตรี 3 คน อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ก็พร้อมจะร่วมด้วยถ้ามีโอกาส ไม่อยากให้สื่อไปตั้งเป้าหมายว่าจะไม่สำเร็จ ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการที่คนส่วนใหญ่ในประเทศอยากเห็นบ้านเมืองสงบ วิธีไหนทำให้บ้านเมืองสงบได้เราก็จะพยายาม

 

เมื่อถามว่า จะเป็นประธานคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเองหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า จะหารือกับอดีตนายกฯและประธานสภา รวมถึงบุคคลต่างๆ เพื่อดูว่าจะมีใครสนใจในเรื่องนี้บ้าง และจะเชิญมาร่วม ซึ่งอดีตนายกฯ 3 คน ที่ได้พูดคุยต่างก็ห่วงบ้านเมือง และพร้อมให้ความเห็น ส่วนจะเห็นคณะกรรมการเกิดเมื่อใด นายชวนระบุว่า อย่าเพิ่งกำหนดเวลาเพราะต้องใช้เวลาในการประสานในแต่ละคน ซึ่งตนจะพยายามไปคุยส่วนตัว และหลายท่านก็ยังบอกว่าไม่สะดวก

 

ส่วนตัวแทนของผู้ชุมนุมถ้าเข้าร่วมด้วยก็จะเป็นประโยชน์มาก จึงได้ให้ทางเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าไปประสาน ซึ่งไม่อยากให้สื่อตั้งเงื่อนไขว่าผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมหรือไม่ เอาเป็นว่าเราเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปเชิญชวนให้เขามาร่วมแก้ไขปัญหาส่วนรวม โดยการหารือวันนี้ พูดคุยกันเฉพาะเรื่องของโครงสร้างคณะกรรมการ ไม่ได้มีการพูดคุยถึงข้อเรียกร้องต่างๆ รวมถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุม ส่วนที่ทางพรรคก้าวไกล ระบุว่าต้องมีการคุยในประเด็นปฏิรูปสถาบัน จึงจะเข้าร่วม เพราะเห็นว่าใครจะตั้งธงอย่างไรก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการว่าจะหารือพูดคุยในเรื่องอะไรบ้าง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันพระปกเกล้าได้เผยแพร่เอกสารระบุถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการสมานฉันท์ โดยมีรายละเอียดว่าจำนวนกรรมการที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 7-9 คน โดยรูปแบบที่ 1 ผู้แทนจากฝ่ายต่างๆ ซึ่งในรูปแบบนี้ มีข้อห่วงกังวล คือ 1.ตัวแทน 7 ฝ่าย อาจมีองค์ประกอบที่ไม่สมดุล น้ำหนักเอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล ทำให้มีกรรมการจะไม่ได้รับความไว้วางใจ

 

2.ต้องระมัดระวังในการจัดหาผู้เอื้อกระบวนการ ซึ่งควรเป็นคณะทำงานจากหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน ไม่ควรผูกขาด การจัดวาระการประชุมและการยอมรับในตัวประธานคณะกรรมการ 3.โอกาสที่พรรคฝ่ายค้านไม่ร่วมมีสูง และ 4.การหาตัวแทนฝ่ายผู้ชุมนุมเป็นไปได้ยาก ส่วนรูปแบบที่ 2 การมีคนกลางนั้น มีข้อดีคือ ทำให้รัฐสภาเป็นพื้นที่ของการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ ส่วนข้อห่วงกังวลคือ การยอมรับในตัวประธานคณะกรรมการและกรรมการ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง