เกมยุบสภาและศึกสามขั้วการเมืองไทยก่อนเลือกตั้งปี 2569

การเมืองไทยในเดือนตุลาคม 2568 กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยเสียงสนับสนุน 311 ต่อ 152 เสียง เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้นำไปสู่ยุค “รัฐบาลชั่วคราว 4 เดือน” ที่มีเป้าหมายหลักคือบริหารประเทศระยะสั้น และเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งใหม่ในเดือนมีนาคม 2569
เส้นทางสู่การยุบสภา
นายกรัฐมนตรีอนุทินยืนยันชัดเจนว่า จะยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อเปิดทางให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นข้อตกลงทางการเมืองร่วมกับพรรคประชาชนที่ยังเป็นฝ่ายค้านหลัก แม้รัฐบาลชุดนี้จะมีอายุสั้น แต่ต้องเร่งดำเนินนโยบายเร่งด่วน 4 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ปากท้อง ความมั่นคง สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างผลงานและเสถียรภาพในช่วงเปลี่ยนผ่าน
การย้ายพรรคและการจัดขั้วใหม่
ปรากฏการณ์ย้ายพรรคเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะกรณี “บ้านใหญ่รัตนเศรษฐ” จากนครราชสีมา และกลุ่มอดีต ส.ส. อุบลราชธานี ที่เริ่มขยับเข้าใกล้พรรคภูมิใจไทย ขณะเดียวกัน นายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มีแนวโน้มจะนำทีมเข้าร่วมพรรคเดียวกัน ทำให้ภูมิใจไทยถูกจับตามองในฐานะพรรคที่ขยายเครือข่ายในภาคอีสานได้อย่างต่อเนื่อง
พรรคพลังประชารัฐในอีกด้าน กลับเผชิญการแตกตัวอย่างหนัก จากเดิมที่เคยมี ส.ส.ราว 40 คน ปัจจุบันเหลือเพียงไม่ถึง 10 คนในทางปฏิบัติ หลายคนย้ายไปสังกัดพรรคที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากกว่า นักวิเคราะห์มองว่า นี่เป็นผลจากการปรับตัวของนักการเมืองท้องถิ่นที่ต้องการหาที่พิงทางการเมืองก่อนเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยกับการเตรียมสนามเลือกตั้ง
พรรคเพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ลอตแรก 185 คน ภายใต้แนวคิด “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย” โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นผู้แถลงเป้าหมายหลัก คือการได้ที่นั่งเกิน 200 ที่ แต่ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากการย้ายพรรคของนักการเมืองท้องถิ่น และคะแนนนิยมที่ลดลงตามผลสำรวจหลายสำนัก
พรรคกล้าธรรมและพรรคประชาชน
พรรคกล้าธรรม นำโดยนายธรรมนัส พรหมเผ่า เริ่มขยายฐานผู้สมัครในภาคเหนือและภาคกลางตอนบน โดยมีอดีตสมาชิกจากพลังประชารัฐเข้าร่วมหลายราย ส่วนพรรคประชาชน แม้จะยังรักษาฐานเสียงเมืองและคนรุ่นใหม่ไว้ได้ แต่การร่วมดีลตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้ทำให้คะแนนนิยมลดลงบ้าง อย่างไรก็ตาม พรรคยังยืนยันว่าจะรักษาบทบาทฝ่ายค้านหลักและเดินหน้านโยบายปฏิรูปทางการเมืองต่อไป
คะแนนนิยมและแนวโน้มการเลือกตั้ง
ผลสำรวจของนิด้าโพล ไตรมาส 3/2568 พบว่า
- 27.28% ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้นำรัฐบาล
- 22.80% สนับสนุนนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จากพรรคประชาชน
- 20.44% สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย
ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า ความนิยมของนายอนุทินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คะแนนของพรรคเพื่อไทยและแพทองธารเริ่มลดลง ขณะที่คะแนนกลุ่ม “ยังไม่ตัดสินใจ” ยังมีสัดส่วนสูง ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งปี 2569
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในช่วงก่อนยุบสภาครั้งนี้มีอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะ การยุบสภา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 หากเป็นไปตามกำหนดนี้ จะเปิดช่วงเวลาเตรียมเลือกตั้งประมาณสองเดือนเต็ม ถือเป็นจังหวะสำคัญที่ทุกพรรคต้องเร่งจัดทัพผู้สมัครและเตรียมยุทธศาสตร์หาเสียงอย่างเข้มข้น
อีกหนึ่งประเด็นคือ การจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่คาดว่าจะจัดพร้อมกับการเลือกตั้งใหญ่ ทำให้ประชาชนต้องลงคะแนนถึงสี่ใบในวันเดียว ทั้งเลือก ส.ส. เขต ส.ส. บัญชีรายชื่อ นายกรัฐมนตรี และประชามติ ซึ่งอาจสร้างความสับสนในขั้นตอนการเลือกตั้ง แต่ก็สะท้อนความพยายามของฝ่ายการเมืองในการปรับโครงสร้างทางการเมืองไปพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ การชุมนุมของภาคประชาชน เริ่มกลับมาคึกคัก ทั้งในประเด็นเศรษฐกิจ ปัญหาน้ำท่วม และการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยหลายกลุ่มมีการนัดรวมตัวหน้าองค์การสหประชาชาติและหน่วยงานรัฐ ซึ่งรัฐบาลต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ลุกลามเป็นวิกฤตทางการเมือง
สุดท้ายคือ การเคลื่อนไหวของพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในเวลานี้ ด้วยการขยายเครือข่ายในหลายจังหวัดและการดึงอดีตนักการเมืองจากพรรคอื่นเข้าร่วมจำนวนมาก ทำให้ถูกมองว่าอาจกลายเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2569 ขึ้นอยู่กับว่าพรรคจะสามารถรักษากระแสความนิยมและผลักดันผลงานรัฐบาลช่วงสั้นนี้ได้มากเพียงใด
การเมืองไทยในช่วงก่อนยุบสภาครั้งนี้จึงอยู่ในสภาวะ “ปรับสมดุลใหม่” ระหว่างสามขั้วหลัก ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญว่า กระแส “รัฐบาลสั้น” จะเปลี่ยนไปเป็น “พรรคใหญ่จริง” หรือไม่ และประชาชนจะเลือกต่ออายุรัฐบาลอนุทิน หรือคืนอำนาจให้ขั้วเดิมกลับมาอีกครั้ง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
