รีเซต

งานวิจัยชี้ การนอนหลับที่ดีช่วยลดโอกาสเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวถึง 42%

งานวิจัยชี้ การนอนหลับที่ดีช่วยลดโอกาสเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวถึง 42%
TNN ช่อง16
19 พฤศจิกายน 2563 ( 17:20 )
228
งานวิจัยชี้ การนอนหลับที่ดีช่วยลดโอกาสเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวถึง 42%

ผลการวิจัยเชิงสำรวจที่เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในประเทศอังกฤษจำนวนเกือบห้าแสนคน พบว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างเป็นประจำ ส่งผลต่ออัตราการเกิดโรคหัวใจวายที่ต่ำลง และยังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเป็นป้จจัยสำคัญที่ทั้งแพทย์และผู้ป่วยที่ต้องการลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวต้องคำนึงถึง


งานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างรูปแบบพฤติกรรมการนอนหลับแบบต่าง ๆ กับความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว โดยกลุ่มนักวิจัยได้ศึกษาข้อมูลจากอาสาสมัครในประเทศอังกฤษจำนวน 408,802 คน โดยแต่ละคนได้มีการให้คะแนนพฤติกรรมการนอนหลับ 5 แบบด้วยกัน ได้แก่ ช่วงระยะเวลาการนอนหลับ, อาการนอนไม่หลับ, การกรน, อาการง่วงเหงาหาวนอนในตอนกลางวัน และ Chronotype หรือช่วงระยะเวลาที่เราตื่นเต็มที่ที่สุด (เช่นบางคนตื่นเต็มที่ตอนเช้า ในขณะที่บางคนตื่นเต็มที่ในตอนกลางคืน)

นักวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่มีคะแนนการนอนหลับเป็นบวกสูงมีโอกาสที่จะประสบภาวะหัวใจล้มเหลวน้อยลงถึง 42% เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้คะแนนการนอนหลับต่ำที่สุด ซึ่งคำนวณจากคะแนนที่ได้ควบคู่ไปกับปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ ความแปรปรวนทางพันธุกรรม, โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง

งานวิจัยชิ้นนี้ยังพบว่าคนที่ชอบตื่นเช้า หรือ “Early Birds” ยังมีความเสี่ยงน้อยต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอยู่ที่ 8% ส่วนคนที่มักนอนไม่ค่อยหลับ หรือ “insomnia” มีความเสี่ยงเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 17% และกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่พบอาการง่วงหาวนอนในตอนกลางวันจะมีโอกาสน้อยลง 34% ที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเช่นเดียวกัน


แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็ยังติดข้อจำกัดสำคัญที่ว่า พฤติกรรมการนอนหลับนั้นเป็นเรื่อง "เฉพาะบุคคล" และยังไม่มีการเชื่อมโยงสาเหตุอย่างชัดเจนระหว่างพฤติกรรมการนอนหลับประเภทนี้กับภาวะหัวใจล้มเหลว แต่อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้ก็ทำให้เราได้รู้ว่าพฤติกรรมการนอนที่ดีส่งผลให้สุขภาพร่างกายของเราดีขึ้น เช่นทำให้เสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวน้อยลง และการนอนหลับที่มีคุณภาพนั้นไม่ใช่แค่ว่าต้องนอนให้เยอะหรือนอนให้นานเท่านั้น แต่การนอนให้เหมาะสมกับลักษณะความต้องการของร่างกายแต่ละคนต่างหากที่จะส่งผลดีกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก

เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง