KUN เจ้าของที่ย่องเจรจา JV จ่อบุ๊กยอดโอนโค้งท้ายพรึ่บ
#KUN #ทันหุ้น – แม่ทัพ KUN “ประวีรัตน์ เทวอักษร” แย้มแผนผนึกเจ้าของที่ดินวางโมเดลธุรกิจ JV ร่วมกัน ต่อยอดธุรกิจ พร้อมชี้ทิศทางอสังหา ปลายปีแข่งดุ เล็งปักหมุด 2 โลเคชั่นใหม่ทำเงิน โชว์โครงการพร้อมขาย 1.1 หมื่นล้านบาท เชื่อโค้งท้ายบุ๊กเงินพระราม 2 ราว 30% ส่วนรังสิตคาดเริ่มโอนพฤศจิกายนนี้
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีเจ้าของที่ดิน (Landlord) เข้ามาพูดคุยหลายราย และมีแผนจะทำ JV ธุรกิจ เพื่อสร้างรายรับในอนาคตเพิ่มขึ้น สำหรับโมเดลธุรกิจของ KUN มีขนาดใหญ่ และเจ้าของที่ดินที่จะเข้ามาเจรจาก็มีโมเดลธุรกิจที่ใหญ่เช่นเดียวกัน หากมีการร่วม JV คาดจะช่วยสร้างฐานการเติบโต และดันโลเคชั่นโครงการให้เป็น 10 โครงการ ตามแผนตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ได้ อีกทั้งจะช่วยลดต้นทุนการพัฒนาโครงการให้ถูกลง และส่งผลต่อมาร์จิ้นรวมให้กับบริษัท
** โค้งท้ายแข่งดุ
สำหรับภาพรวมธุรกิจ 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ จะเห็นว่าการแข่งขันดุเดือดมาก และเชื่อว่าไตรมาส 4/2566ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการต่างๆ จะออกโปรโมชั่นสุดพิเศษ ซึ่งจุดเด่นในไตรมาสนี้เป็นของลูกค้าเพราะจะได้สินค้าใหม่ ราคาถูก แต่เป็นสินค้าที่ค่อนข้างมีคุณภาพ
ส่วนแผนธุรกิจ 3 เดือนสุดท้ายของบริษัท ปัจจุบันผ่านมาแล้วช่วง 9 เดือนและอยู่ระหว่างปิดงบประมาณไตรมาส 3/2566 โดยโครงการเดิม 90% อยู่ในเขตบางบัวทอง และเริ่มขยายมาในเขตตะวันออก ฉะเชิงเทรา และมีโครงการเพิ่มเติมที่พระราม 2 และรังสิต
สำหรับโครงการที่บริษัทพัฒนาและขาย มีระดับตั้งแต่ 2-5 ล้านบาท แต่ปัญหาส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับสินค้า และโครงการค่อนข้างตอบโจทย์ แต่ผู้อนุมัติวงเงินคืออุปสรรคในการซื้อขายของผู้บริโภคในปัจจุบัน
ทั้งนี้ 2 โลเคชั่นใหม่โซนพระราม 2 และรังสิต ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ แต่ไม่สามารถทำทันในไตรมาส 3/2566 ได้ ซึ่งจะเห็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4/2566 ขณะที่บริษัทเตรียมเปิด 2 โครงการ ที่เป็นสถานที่แห่งใหม่เพื่อเตรียมสู้กับการแข่งขันในช่วง 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ และเชื่อว่า 2 โลเคชั่นใหม่ลูกค้าจะมีความพร้อมมากกว่า และการซื้อขายจะง่ายกว่า ซึ่งจะหนุนให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ดีกว่าที่ผ่านมา
** 2 โลเคชั่นใหม่
ขณะที่บริษัทคาด 2 โลเคชั่นใหม่โซนพระราม 2 และรังสิต ในอนาคตจะมีสัดส่วนรายได้เป็น 50% ในปี 2568 เป็นต้นไป ซึ่งทั้ง 2 โลเคชั่นจะมีราคาขายอยู่ที่ระดับ 5-10 ล้านบาท และมองว่ากลุ่มลูกค้าระดับ 10 ล้านบาท ฐานค่อนข้างกว้าง และเป็นกลุ่มวัยทำงาน คาดกลุ่มนี้ขยายตัวต่อเนื่อง
สำหรับมูลค่าโครงการที่พระราม 2 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3.5 พันล้านบาท ส่วนโครงการรังสิต คิดเป็นมูลค่า 7.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ และเป็นไปตามโมเดลธุรกิจของบริษัท ที่จะค่อนข้างขยายตัวสร้างฐานการเติบโต สำหรับ 2 โลเคชั่นใหม่นี้ จะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 4/2566 เบื้องต้นคาดว่าโครงการที่พระราม 2 จะสร้างรายได้ในไตรมาส 4/2566 ประมาณ 30% ส่วนโครงการที่รังสิต คาดจะเห็นขั้นตอนทางนิติกรรมเริ่มพฤศจิกายนนี้ และน่าจะเห็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 4/2566
ขณะที่ยอดรอโอน หรือ Backlog ถูกยกมาจากไตรมาส 3/2566 ที่ 200 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2566 อีกทั้งในไตรมาส 4/2566 จะเห็นภาพที่สำคัญจากการรับรู้รายได้ 2 โลเคชั่นใหม่ อีกทั้งในไตรมาส 4 บริษัทแบ่งการทำงานออกเป็น 2 อย่าง คือ ทีมแรกจะเร่งยอดขาย ยอดโอน ส่วนทีม 2 จะเตรียมแผนการพัฒนาโครงการใหม่เพื่อรองรับการเติบโตปี 2567
นางประวีรัตน์ กล่าวต่อว่า บริษัทมีที่ดินที่เป็นแลนด์แบงก์เหลือไม่มาก โดยเหลืออยู่ที่บางบัวทองอีกประมาณ 100 ไร่ ซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการขออนุญาต ซึ่งบริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการ 4 ทิศรอบเขตกรุงเทพมหานคร ขณะที่ปัจจุบันโครงการที่ฉะเชิงเทราเหลืออีกไม่กี่หลัง บริษัทจะปิดโครงการเรียบร้อย ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่พัฒนาแล้วและพร้อมขายรวมกันประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท และสามารถเดินทางไปได้ในอนาคต โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรมาก