ยุบสภา คืออะไร ทำไมไทยต้องใช้ทางออกนี้

ยุบสภาผู้แทนราษฎร กลไกคืนอำนาจและบททดสอบประชาธิปไตยไทย
การเมืองไทยกว่า 90 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 มีกลไกสำคัญที่ถูกใช้ซ้ำในยามวิกฤติ นั่นคือ “การยุบสภาผู้แทนราษฎร” กลไกนี้ไม่เพียงทำให้สมาชิกภาพของสภาสิ้นสุดลงก่อนครบวาระ แต่ยังเป็นกระบวนการที่คืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกผู้แทนใหม่เพื่อตัดสินข้อขัดแย้งทางการเมือง โดยนับตั้งแต่ปี 2481 ถึง 2566 ประเทศไทยใช้การยุบสภามาแล้ว 14 ครั้ง แต่ละครั้งสะท้อนความเปราะบางและพลวัตของระบบรัฐสภาไทย
การยุบสภาผู้แทนราษฎรคืออะไร และหมายถึงอะไรตามกฎหมาย ?
ในเชิงความหมาย นักวิชาการกฎหมายอธิบายว่า การยุบสภาคือการที่ประมุขของรัฐประกาศสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. ทั้งหมดโดยมีคำแนะนำจากฝ่ายบริหาร ดร.วิษณุ เครืองาม ให้นิยามว่าการยุบสภาเป็นการเพิกถอนฝ่ายนิติบัญญัติชั่วคราว และ “ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินปัญหา” จุดนี้ทำให้การยุบสภากลายเป็นกลไกถ่วงดุลระหว่างสภากับรัฐบาล แตกต่างจาก “การปิดสมัยประชุม” ที่เป็นเพียงการหยุดประชุมชั่วคราวโดยสมาชิกภาพยังคงอยู่ และที่สำคัญ การยุบสภาใช้เฉพาะกับสภาผู้แทนราษฎร ไม่ครอบคลุมถึงวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญฉบับแรกปี 2475 ได้กำหนดเรื่องการยุบสภาอย่างชัดเจน โดยระบุว่า “สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อครบวาระหรือเมื่อมีการยุบสภา” และกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เหตุการณ์ยุบสภาครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 11 กันยายน 2481 ในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา หลังจากสภามีมติ “45 ต่อ 31 เสียง” ให้เปิดเผยรายละเอียดงบประมาณตั้งแต่ขั้นรับหลักการ แต่รัฐบาลไม่สามารถทำตามได้ สุดท้ายจึงยุบสภาเพื่อยุติความขัดแย้ง
ในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญปี 2560 ยังคงวางกรอบการยุบสภาไว้ในมาตรา 103 โดยกำหนดให้ทำได้ผ่าน “พระราชกฤษฎีกา” และในเหตุการณ์เดียวกันยุบได้เพียงครั้งเดียว พร้อมวางกรอบเวลาเลือกตั้งว่า “ภายใน 5 วัน” หลังพระราชกฤษฎีกามีผล กกต. ต้องประกาศวันเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษา โดยกำหนดวันลงคะแนนให้อยู่ในช่วง “45-60 วัน” เพื่อป้องกันสุญญากาศทางการเมือง ขณะเดียวกันเมื่อมีการยุบสภาแล้ว รัฐบาลยังคงทำงานต่อในสถานะ “รัฐบาลรักษาการ” ที่อำนาจถูกจำกัด ไม่สามารถอนุมัติพันธะผูกพันระยะยาวหรือโยกย้ายข้าราชการสำคัญโดยไม่ได้รับความเห็นชอบ
กระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกฤษฎีกายุบสภาอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้หลักมาตรา 175 ตรวจสอบความถูกต้องทั้งขั้นตอน ผู้ใช้อำนาจ และวัตถุประสงค์ หากพบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลสามารถวินิจฉัยให้การยุบสภานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
เหตุผลใดที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจยุบสภา?
เหตุผลที่ทำให้รัฐบาลเลือกใช้การยุบสภามีหลากหลายรูปแบบ บางครั้งเกิดจาก “ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ” เช่นการไม่ผ่านร่างกฎหมายสำคัญ บางครั้งเกิดจาก “ความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสม” ที่ทำให้เสถียรภาพการบริหารสั่นคลอน บางครั้งเป็นผลจาก “วิกฤตทางการเมือง” เช่น พฤษภาทมิฬปี 2535 ที่นำไปสู่การยุบสภาเพื่อฟื้นความเชื่อมั่น และในบางสถานการณ์ รัฐบาลใช้การยุบสภาเป็น “เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์” เร่งเลือกตั้งในช่วงที่คะแนนนิยมอยู่ในจุดสูงสุด เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
ผลกระทบจากการยุบสภาเกิดขึ้นทันที เมื่อสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ งานด้านนิติบัญญัติทั้งหมดหยุดชะงัก ร่างกฎหมายและญัตติที่ค้างอยู่ต้องเริ่มใหม่ในสภาชุดถัดไป ขณะเดียวกัน วุฒิสภายังคงทำหน้าที่ในบางกรณี เช่น การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือพิจารณาประเด็นสำคัญตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สามารถทดแทนการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างสมบูรณ์
การยุบสภาในต่างประเทศ แตกต่างจากประเทศไทยอย่างไร?
หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ กลไกการยุบสภามีรูปแบบแตกต่างกัน สหราชอาณาจักรให้อำนาจพระมหากษัตริย์ยุบสภาตามคำแนะนำนายกรัฐมนตรี ซึ่งกฎหมายที่เคยจำกัดอำนาจนี้ถูกยกเลิกและฟื้นกลับมาในปี 2022 แคนาดาให้อำนาจผู้ว่าการทั่วไปยุบสภาได้หากรัฐบาลเสียความไว้วางใจ หรือเมื่อครบวาระ 5 ปี ส่วนสาธารณรัฐเช็กกำหนดเงื่อนไขชัดเจน เช่น การไม่ผ่านญัตติความไว้วางใจหรือการลงมติยุบตัวเองของสภาผู้แทนราษฎร ความยืดหยุ่นของระบบไทยจึงเป็นทั้งจุดแข็งและจุดที่ถูกถกเถียงในเชิงกฎหมาย
บทเรียนจากการยุบสภา “14 ครั้ง” ของไทยสะท้อนให้เห็นว่า กลไกนี้ไม่ใช่เพียงการตัดสินใจทางการเมืองชั่วคราว แต่คือวิธีการปรับสมดุลระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ และเป็นเครื่องมือคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งใหม่ ความสำคัญของการยุบสภาจึงอยู่ที่การเปิดทางให้ระบบประชาธิปไตยเดินหน้าต่อไป แม้จะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งและความไม่แน่นอน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
