รีเซต

"หุ้นสหรัฐฯ" ปีหน้าแผ่ว "Emerging Market" เด่น "ไพน์ เวลท์" แนะลงหุ้นยุโรป-เอเชีย

"หุ้นสหรัฐฯ" ปีหน้าแผ่ว "Emerging Market" เด่น "ไพน์ เวลท์" แนะลงหุ้นยุโรป-เอเชีย
TNN ช่อง16
24 ธันวาคม 2568 ( 15:37 )

นายพงศกร พูนพิเชฐธรรม กรรมการผู้จัดการ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) ของปี 68 อยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และปี 69 คาดว่า AUA จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากแผนการขยายทีมที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) อีก 12 ราย ผ่านการวางแผนการลงทุนที่หลากหลายของทีมกลยุทธ์ และการพัฒนาใช้ AI บริการให้ลูกค้า โดยคาดหวังรายได้ปีหน้าโต 35%

โดยทางบล.ไพน์ เวลท์ ยังคงทำหน้าที่ให้คำปรึกษาออกแบบกลยุทธ์การลงทุนเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามวัตถุประสงค์การลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Personalize Portfolio Management)

นายพงศกร พูนพิเชฐธรรม กรรมการผู้จัดการ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) ของปี 68 อยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และปี 69 คาดว่า AUA จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากแผนการขยายทีมที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) อีก 12 ราย ผ่านการวางแผนการลงทุนที่หลากหลายของทีมกลยุทธ์ และการพัฒนาใช้ AI บริการให้ลูกค้า โดยคาดหวังรายได้ปีหน้าโต 35%

โดยทางบล.ไพน์ เวลท์ ยังคงทำหน้าที่ให้คำปรึกษาออกแบบกลยุทธ์การลงทุนเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามวัตถุประสงค์การลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Personalize Portfolio Management)

นายพงศกร พูนพิเชฐธรรม กรรมการผู้จัดการ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (AUA) ของปี 68 อยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และปี 69 คาดว่า AUA จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากแผนการขยายทีมที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) อีก 12 ราย ผ่านการวางแผนการลงทุนที่หลากหลายของทีมกลยุทธ์ และการพัฒนาใช้ AI บริการให้ลูกค้า โดยคาดหวังรายได้ปีหน้าโต 35%

โดยทางบล.ไพน์ เวลท์ ยังคงทำหน้าที่ให้คำปรึกษาออกแบบกลยุทธ์การลงทุนเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามวัตถุประสงค์การลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Personalize Portfolio Management)

ในแง่ของการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย บล. ไพน์ เวลท์ ได้ร่วมมือกับ บลจ. พันธมิตร เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Structured Note ในช่วงไตรมาส 1/2569 ซึ่งออกแบบมาเพื่อจับจังหวะตลาด (Capture Moment) และสร้างโอกาสทำกำไรให้กับลูกค้าได้ในทุกสภาวะ แม้ในช่วงตลาดขาลง

นายพงศกร กล่าวว่า เรายังคงแนวคิด One-Stop Financial Service ให้กับนักลงทุน โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) เพื่อช่วยแนะนำการลงทุนให้เหมาะกับนักลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจแบบ Asset Allocation บนโมเดล Open Architecture ในการลงทุนระยะกลางถึงยาว ร่วมกับการลงทุนแบบจับจังหวะตลาดให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของลูกค้า และตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บล.ไพน์ เวลท์ ได้พัฒนาตนเองผ่านเทคโนโลยี AI เราเริ่มต้นจากการพัฒนา โปรแกรม AI-Powered Multi-Asset Investment Intelligence เป็นการพัฒนาระบบภายในควบคู่ไปกับทีมกลยุทธ์การลงทุนของเรา โปรแกรมนี้ นำเสนอทั้งด้าน Technical & Fundamental Outlook ที่ผ่านมาผมเลือกนำร่องโปรแกรมนี้

สำหรับที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล (Private Wealth) ของเราก่อน และคาดว่าภายในปีหน้า บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จะนำเทคโนโลยี ด้าน AI เข้ามา Full System ภายในบริษัท เพื่อเป็นเครื่องมือพิเศษที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (Private Wealth) ของบริษัทในการดูแล ให้บริการและให้คำแนะนำแก่ลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของบริษัท คือ การช่วยให้ลูกค้ามีเวลาเพื่อไปใช้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ธุรกิจ หรือสุขภาพของลูกค้าเองให้ได้มากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความั่งคั่งและมั่นคงทางการเงินอีกต่อไป (Secure Your Wealth, Liberate Your Time)

และในฐานะบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เรามุ่งเน้นการสร้างพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่น (Resilient Portfolio)” นายพงศกร กล่าว

ปี 69 หุ้นเทคสหรัฐไม่ร้อนแรง

นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนปี 69 เป็นช่วงเวลาที่มีความท้าทายสูงหลังการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นทั่วโลกตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตามกระแสการลงทุนและพัฒนา AI รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นขาลง หากจะให้อธิบายฉากทัศน์การลงทุนด้วยประโยคหนึ่งที่สามารถอธิบายประเด็นนี้อย่างครบถ้วนคือ “Normalization After the AI Hype and Rate Easing” โดยตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 69 แม้จะยังอยู่บนแนวโน้มขาขึ้นแต่การปรับตัวขึ้นต่ออาจเป็นการแกว่งตัวในกรอบหรือปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้วในขณะที่ระดับการประเมินมูลค่ามีความตึงตัว

ในระยะถัดไปนักลงทุน “คาดหวัง” กับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีระดับการเติบโตของกำไรที่สูงอย่างต่อเนื่องจากความเคยชินที่ได้เห็นผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวรวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ดีกว่าคาดอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้ามบนระดับ Valuation ที่ตึงตัวในปัจจุบันนักลงทุนก็พร้อมที่จะขายทำกำไรเพื่อลดสัดส่วนการลงทุนลงอย่างน้อยก็ในระยะสั้นเมื่อเผชิญกับ “ความไม่แน่นอน” ต่างๆ ทั้งจากปัจจัยเฉพาะตัวรายบริษัท-อุตสาหกรรมและปัจจัยภายนอกที่มาจากความเสี่ยงเชิงนโยบายตลอดจนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

พร้อมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพที่ชัดเจนในประเด็นที่เป็นความเสี่ยงของอุตสาหกรรม AI-Semiconductor ได้แก่ ผลประกอบการ ORACLE บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ กลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ผู้ให้บริการระบบข้อมูลและซอฟต์แวร์ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนา AI มีผลประกอบการต่ำกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย โดยบริษัทมีระดับของงบประมาณด้านการลงทุน (Capex) และหนี้สินระยะยาวสูงแต่อาจจะมีการรับรู้รายได้ในอนาคตล่าช้ากว่าที่นักลงทุนเคยประเมิน ความเสี่ยงดังกล่าวนำไปสู่การ Selloff อย่างรุนแรงใน 1 วันทำการ

และอีกกรณีหนึ่งคือการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Broadcom หนึ่งในบริษัทกลุ่ม Semiconductor ขนาดใหญ่ โดยผู้บริหารมีการให้ Guidance ทิศทางของระดับกำไร (Margin) ในอนาคตว่ามีแนวโน้มลดลงบนโครงสร้างของรายรวมที่เปลี่ยนไป ซึ่งทำให้ราคาหุ้นเผชิญกับแรงขายที่รุนแรงในระยะสั้นเช่นกัน สิ่งเหล่าสะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อการลงทุนด้าน AI ในปัจจุบันว่าเป็นการลงทุนที่มากเกินไปหรือไม่และระดับ Valuation ของหุ้นมีความเหมาะสมสอดคล้องกับการเติบโตในปัจจุบันและอนาคตมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นในปีหน้ายังมีแนวโน้มที่รักษาทิศทางขาขึ้นได้ต่อ แต่การปรับตัวขึ้นอาจไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงที่ผ่านมา และมีโอกาสสูงที่จะไม่กระจุกตัวอยู่เพียงแค่ในสหรัฐฯ – กลุ่มเทคโนโลยีเหมือนเดิม นักลงทุนเริ่มมองหาตลาดหุ้น-สินทรัพย์การลงทุนอื่นๆ ที่เป็นทางเลือกมากขึ้น ในมุมมองของ Pine Wealth Solution การลงทุนในหุ้นควรพิจารณากระจายการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียและกลุ่ม Emerging Market ซึ่งมีระดับของ Valuation ที่ถูกกว่าโดยเปรียบเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ

ส่วนในกลุ่ม Development Market อาจพิจารณากระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แต่มีระดับราคาที่ถูกกว่าเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีค่าสหสัมพันธ์(Correlation) กับหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นต่ำเป็นแนวทางหลักที่เราได้สื่อสารและปฏิบัติจริงเสมอมา

นอกจากกลยุทธ์การกระจายการลงทุน ทีม Investment Product & Strategy ยังคงมองหาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้า ซึ่งมีความต้องการที่หลากหลายและมีวัตถุประสงค์การลงทุนที่ต่างกัน ดังนั้น บนการประยุกต์ใช้กลยุทธ์และรูปแบบของคำแนะนำเรายังคงมองหา “Alpha” ในการลงทุน

ขณะเดียวกันเราได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงหรือ Risk Management โดยเราพร้อมที่จะเปิดกว้างในการเป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อออกแบบการลงทุนที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าและสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน

จัดพอร์ตปี 69 ลดสัดส่วนหุ้นสหรัฐ

นายปิยะทัศน์ กล่าวว่าการลงทุนในปี 69 แนะให้กระจายการลงทุน ดูเรื่องความเสี่ยงให้มากกว่ามองหา Alpha หรือผลตอบแทน เนื่องจาก Valuation หุ้นสหรัฐขึ้นไปทำให้ราคาแพงไปแล้ว โดยหุ้นสหรัฐขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ผลตอบแทนเกิน 40% ทั้ง Nasdaq และ S&P500 จึงเห็นว่าในปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอาจไม่ร้อนแรงเหมือนปี 68 โดยแนะนำให้ลดสัดส่วนลงแล้วหันมาลงทุนหุ้น defensive อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่ม Healthcare กลุ่ม Industrial หรือถ้าเป็นรายประเทศ แนะเข้าตลาดหุ้นยุโรป เอเชีย หรือหากเป็นหุ้นไทยเน้นหุ้นปันผลสูง

ดังนั้นในปี 69 แนะจัดพอร์ตเป็นหุ้น 60% ตราสารหนี้ 30% และ commodity (อาทิ ทอง) 10%

โดยในส่วนหุ้นโลก 20% หุ้นสหรัฐ เป็น Non-Tech อาทิ Finance ไม่เกิน 10% Healthcare ไม่เกิน 10% หุ้นกลุ่มประเทศพัฒนา(DM) ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น สัดส่วน 10% หุ้นกลุ่มประเทศ Emerging Market (EM) อาทิ จีน หรือ ไทยเน้นหุ้นปันผล สัดส่วน 10%

ส่วนตราสารหนี้ แนะลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 20% ตราสารหนี้ไทย 10% ขณะที่ 10% ลงทุนทองคำ หรือลงทุนเหมืองทองคำ โดยคาดปี 69 ราคาเป้าหมายทองคำ อยู่ที่ 4,600-4,900 เหรียญ/ออนซ์

นายปิยะทัศน์ ยังกล่าวว่า หุ้นไทยในปี 69 มีความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยให้เป้าดัชนี SET ที่ 1,300-1,320 จุด จากเดิม 1,350 จุด และมีแนวรับที่ 1,100 1,120 จุด ทั้งนี้มองว่า รัฐบาลใหม่น่าจะเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งอาจจะไม่มีเสถียรภาพ และหากมีการเลื่อนตั้งออกไปจากเดิมตลาดจะปรับตัวลงได้เร็วกว่าที่คาด เพราะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าจะทำให้งบประมาณปี 70 ล่าช้าไปด้วย และอาจจะกระทบกับความมั่นใจของนักลงทุน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง