โควิดพ่นพิษลากยาวโรงแรม-ที่พักท่องเที่ยวเสี่ยงเจ๊ง
รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศยังเป็นปัจจัยสำคัญกดดันการท่องเที่ยวไทยและธุรกิจบริการอย่างโรงแรมและที่พักโดยตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย ยังไม่ผ่านพ้นจุดต่ำสุด ทั้งนี้ได้ศึกษา 2 กรณีคือ ถ้าโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศควบคุมได้เร็ว และไม่มี การระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ในต่างประเทศการระบาดของโควิด-19 หลายประเทศดีขึ้น และผลการใช้วัคซีนมีประสิทธิภาพดี การดำเนินนโยบายเปิดรับ นทท. ต่างชาติมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 4.5 ล้านคนรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.4 แสนล้านบาท
กรณีเลวร้ายการระบาดลากยาว กอปรกับในต่่างประเทศยังมีการระบาดรุนแรงในหลายประเทศ การดำเนินนโยบายผ่อนปรนนักท่องเที่ยวต่างชาติจำกัดเฉพาะกลุ่มและประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 2 ล้านคน รายได้นักท่องเที่ยวต่่างชาติ 2.2 แสนล้านบาท
ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยฟื้นตัวแต่ยังอยู่ระดับต่ำ โดยจากสมมติฐานหากทางการสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19ในประเทศได้ในช่วง 2-3 เดือนแรกของปี 2564 และไม่เกิดการระบาดรอบ 3 ในและต่่างประเทศ เริ่มมีการใช้วัคซีนในประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวไทย 120 ล้านคน-ครั้งรายได้นักท่องเที่ยวไทย 6.6 แสนล้านบาท
นอกจากนี้จากสมมติฐานความเสี่ยงการระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นระลอกอย่ำงมีนัยสำคัญ จนส่งผลกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวเป็นช่วงๆ จำนวนนักท่องเที่ยวไทย 90 ล้านคน-ครั้ง รายได้นักท่องเที่ยวไทย 5.0 แสนล้านบาท
สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักทั่วประเทศโอเวอร์ซัพพลายก่อนวิกฤติ โดยมีโรงแรมและห้องพักทั่วประเทศ 3.04 หมื่นแห่ง จำนวนห้องพักทั่วประเทศมี 1.12 ล้านห้อง Segment โรงแรมและที่พักส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Budget และ Midscale ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 1,720 บาท ใน 5 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยอัตรการเข้าพักในแต่ละช่วงเวลาหรือ OCC ทั้งประเทศประมาณ 69% ซึ่งสะท้อนได้ว่า ในภาวะตลาดปกติธุรกิจโรงแรมและที่พักในประเทศก็เผชิญกับอุปทานล้นตลาด
สำหรับธุรกิจโรงแรมและที่พักปีนี้ยังไม่ผ่านพ้นวิกฤติ คาด Supply ประมาณ 20% ของโรงแรมและที่พักในพื้นที่ 20 จังหวัด เช่น สตูล นนทบุรี ตรัง เชียงราย สุโขทัย อยุธยา ประจวบฯ ตราด ปทุมธานี เชียงใหม่ สมุทรปราการ สงขลากรุงเทพฯ กระบี่ ชลบุรี นราธิวาส สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต และยะลามีความเสี่ยงที่จะปิดกิจการ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์การระบาดโควิดระลอกใหม่ไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 1 ของปีนี้ โดยกลุ่มโรงแรมและที่พักที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Budget และ Midscale ที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่าง กลุ่ม Backpack และ Group Tour
โดยจังหวัดที่มีจำนวนห้องพักสูงสุดคือ กรุงเทพฯ290,000 หน่วย ภูเก็ต120,000 หน่วย ชลบุรี 98,500 หน่วย สุราษฎร์ฯ 67,700 หน่วย เชียงใหม่ 54,610 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 52% ของจำนวนห้องพักทั่วประเทศ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักที่ได้รับผลกระทบหนักและเสี่ยงปิดกิจการมีประมาณ 20% ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ พัทยา และกระบี่ เป็นต้น
ส่วนผลกระทบผู้ประกอบกำรโรงแรมและที่ พักจดทะเบียนในพื้นที่ 20 จังหวัดมีจำนวน 1.8 หมื่นแห่งพบว่า หากยืดเยื้อลากยาวจะกระทบธุรกิจ 1.01 หมื่นแห่ง ถ้าปานกลางกระทบ 4.6 พันแห่ง น้อยสุดกระทบ 3.7 พันแห่ง
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจโรงแรมและที่พักที่ได้รับผลกระทบและต้องระวังเป็นพิเศษคือกลุ่มที่พึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีปัญหาเรื่อง Oversupply ห้องพัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ และชลบุรี เป็นต้น รวมถึงกลุ่ม Budget Hotel เช่น Guest house และ Hostel เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่ม Mass และ Backpack คงจะใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัว ขณะที่ในด้านขีดความสามารถในการสร้างรายได้ค่อนข้างจำกัด
ตลอดจนกลุ่มโรงแรมที่สร้างเสร็จเปิดใหม่ในปี 63 และที่กำลังจะสร้างเสร็จในปี 64 มีความเสี่ยงด้านการสร้างรายได้ การแข่งขัน รวมถึงแรงงาน(กลุ่มผู้ประกอบการไทยเผชิญความเสี่ยงสูงกว่าผู้ประกอบการต่างชาติซึ่งมีทุนและความสามารถในการทำตลาดที่สูง)
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.comfacebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE