รีเซต

ส่องหุ้นไทย! ก่อนยุบสภาฯ 4 เดือน ตัวไหนวิ่งฉิว-น่าเก็งกำไร?

ส่องหุ้นไทย! ก่อนยุบสภาฯ 4 เดือน ตัวไหนวิ่งฉิว-น่าเก็งกำไร?
TNN ช่อง16
27 กันยายน 2568 ( 16:14 )
15

ดัชนีตลาดหุ้นไทยต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาร่วง หลังตอบรับประเด็นความชัดเจนทางการเมืองในประเทศและการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดไปแล้ว  ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ส่งผลให้นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นรายตัว นำโดยกลุ่มพลังงานที่มีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน

ขณะเดียวกัน  SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงกลางสัปดาห์ หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดประชุมครม. นัดพิเศษของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งกระตุ้นความคาดหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีแรงซื้อคืนหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย ค้าปลีก แบงก์และไฟแนนซ์ จากนั้นในช่วงท้ายสัปดาห์พลิกกลับมาย่อตัวลงอีกครั้ง 

ซึ่งวันศุกร์ที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมาดัชนีปิดที่ระดับ 1,278.74 จุด ลดลง 9.52 จุด หรือ 0.74%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 36,245.78 ล้านบาท สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ครอบคลุมยา รถบรรทุกและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการที่ Fitch Ratings ประกาศคงอันดับเครดิตระยะยาวของไทยที่ BBB+ แต่ปรับแนวโน้ม (Outlook) จาก Stable เป็น Negative ให้เหตุผลว่า ปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น ความเปราะบางของเศรษฐกิจทั่วโลก การชะลอตัวของภาคการส่งออก และภาระหนี้ภาครัฐที่อาจเพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่รายได้ของรัฐถูกกดดัน ได้ส่งผลให้มุมมองของอันดับเครดิตลดลง

นอกจากนี้ Fitch เตือนว่า หากเกิดความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หรือหนี้ภาครัฐ-การคลังแย่กว่าคาด อาจมีการลดอันดับ (downgrade) ได้ในอนาคต

สำหรับตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าและเดือนต.ค.จะเป็นอย่างไร มีปัจจัยบวกลบอะไรที่ต้องติดตาม หุ้นตัวไหนที่ควรซื้อมาเติมพอร์ต หลังเปลี่ยนผ่านผู้นำทางการเมือง และรัฐบาลใหม่เตรียมแถลงนโยบายต่อสภาฯ ในวันที่ 29-30 ก.ย.นี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ 

 เริ่มจาก ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า  ตลาดหุ้นไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.) ดัชนีปรับตัวลง 8% YTD โดยเผชิญ 4 ปัจจัยหลักกดตลาด คือ สงครามตะวันออกกลาง สหรัฐฯทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อิหร่าน ปัญหาความไม่สงบไทย-กัมพูชา  และสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกกระทบการส่งออกของไทย 

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ตลาดหุ้นอินเดียร่วง 3% ฟิลิปปินส์ร่วง 7.7% เกาหลีใต้บวก 41%  เวียดนามบวก 31% อินเดียบวก 14% ญี่ปุ่นบวก 14% ไต้หวันบวก 11%

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายพบว่า อินเดียขายสุทธิ 1.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เวียดนามขายสุทธิ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  อินโดนีเซียขายสุทธิ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขายสุทธิ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 627 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนประเทศไต้หวันซื้อสุทธิ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และญี่ปุ่นซื้อสุทธิ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

“ช่วงที่ดัชนีเข้าสู่ไตรมาส 3 หุ้นไทยเริ่มขยับขึ้นมาเป็นบวก 18% ซึ่งอยู่อันดับ 7 ของโลก แต่ถ้ารวม 9 เดือน ดัชนีหุ้นไทยลง 8%  และในอดีตที่ผ่านมาการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง เกิดนิติสงคราม ไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนหุ้นไทยเคยร่วงเกิน 100 จุด ซึ่งนักลงทุนไม่ชอบความผันผวน แต่ถ้าโรดแมพชัดเจนจะส่งผลให้ตลาดนิ่งขึ้น” 

โดยตลาดหุ้นไทยในเดือนต.ค.ปัจจัยที่ต้องติดตามคือความไม่สงบในตะวันออกกลาง  ปัญหาความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต  หลังเครื่องบินขับไล่ MiG-31 จำนวน 3 ลำของรัสเซียได้บินล้ำเขตน่านฟ้าเอสโตเนียเหนืออ่าวฟินแลนด์ โดยไม่ได้รับอนุญาต และอยู่ในน่านฟ้ารวม 12 นาทีเต็ม ตามการยืนยันของกระทรวงการต่างประเทศเอสโตเนีย

ทำให้เครื่องบิน F-35 ของอิตาลีที่ประจำการในเอสโตเนียภายใต้ภารกิจ Eastern Sentry พร้อมทั้งเครื่องบินจากสวีเดนและฟินแลนด์ ต้องบินตอบโต้เพื่อสกัดการบุกรุก ก่อนที่ฝูงบินรัสเซียจะหันกลับออกไปทำให้ความไม่แน่อนนอนยังมีอยู่

ตลอดจนติดตาม “ทรัมป์” หลังประกาศเก็บภาษีนำเข้ายาที่มีตราสินค้า 100% พร้อมด้วยภาษีรถบรรทุกหนัก 25% และตู้ครัว 50% โดยให้มีผลบังคับใช้ 1 ต.ค. นอกจากนี้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown หากสภาครองเกรสไม่สามารถอนุมัติงบประมาณได้ทันก่อนวันที่ 30 ก.ย. นี้  

ขณะที่การเมืองไทยรัฐบาลใหม่ออกมายืนยันว่าจะอยู่บริหารประเทศ 4 เดือนหลังจากนั้นประกาศยุบสภาฯ เพื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในระบอบประชาธิปไตยทำให้ความผันผวนของตลาดหุ้นลดลง 

ทั้งนี้หากย้อนดูข้อมูลในอดีตก่อน 4 เดือนยุบสภาฯ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา  ทั้งในสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีหุ้นจะปรับตัวขึ้น 6.5%  ซึ่งเกิดขึ้น 4 ครั้ง โดยหุ้นที่ขึ้นได้ดีเช่น DELTA 59% CPN 40% MINT 23% KTB 20% AMATA 19% CPALL  9%  ดังนั้นควรเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ 


ส่วนฟันด์โฟลว์คาดว่าจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มทั่วโลก หลังทิศทางดอกเบี้ยสู่ขาลง และนักลงทุนอาจโยกเงินจากพันธบัตรเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่ม แม้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศจะนิ่ง แต่ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก คาดดัชนีหุ้นไทยเดือนต.ค. แกว่งออกข้าง ประเมินแนวต้านที่ 1,320-1,350 จุด แนวรับที่ 1,230-1,250 จุด 


เน้นลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะช่วงความไม่แน่นอนภาวะสงคราม   แนะนำหุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 40 บาท เนื่องจากราคาแลกการ์ด และหุ้น PTTEP ราคาเป้าหมาย 138 บาท และหุ้นท่องเที่ยวรับผลบวกจากเทศกาลหยุดยาวของจีนหรือ Golden Week ชอบ ERW  ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท 

CENTEL ราคาเป้าหมาย 36 บาท หุ้นรับผลบวกดอกเบี้ยขาลง MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท หุ้นปันผลสูง8.5%  เช่น ICHI ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากคนละครึ่ง เช่น CPALL ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 23.90 บา

 ส่วนกรณีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์  สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น 'เชิงลบ' (Negative)  จากเดิมมี “เสถียรภาพ” และคงอันดับเครดิตที่ BBB+ ส่งผล sentiment ด้านลบช่วงสั้น เพราะการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ถ้ารัฐกระตุ้นเศรษฐกิจและไม่มีสุญญากาศทางการเมืองประเทศก็สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ขณะที่บจ.ออกหุ้นกู้ให้เจ้าหนี้เกิน 90% เป็นคนไทยไม่ใช่ต่างชาติ ดังนั้นไม่ส่งผลต่อตลาดทุนมากนัก


ฝั่งฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า  ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น 'เชิงลบ' (Negative) แต่คงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ BBB+ เพราะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพทางการคลัง  ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อมีแนวโน้มจะกระทบต่อ ความสามารถในการคาดการณ์นโยบาย (policy predictability)  ความเชื่อมั่นนักลงทุนและวินัยการคลัง แรงกดดันการคลังเพิ่มสูงขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการที่ต้องใช้จ่ายมาก ท่ามกลางเศรษฐกิจที่โตต่ำ

โดยในอดีตที่ผ่านมา รอบล่าสุด คือช่วงกลางคืน 29 เม.ย.68   Moody’s ได้ประกาศลดแนวโน้ม Credit Rating Outlook ของไทยเป็น เชิงลบ (Negative) จากเดิมมีเสถียรภาพ (Stable) แต่ยังคงอันดับ Credit rating ที่ Baa1  วันหลังจากนั้นวันที่ 30 เม.ย.2025 ไม่ได้ตอบสนองในทางลบแต่  +26.14 จุด (+2.3%) ปิดที่ระดับ 1197.26 จุด   ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นวันนั้นคือประชุม กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย   0.25%  สู่ระดับ 1.75%  ซึ่งตลาดหุ้นไทย 1 สัปดาห์หลังจากนั้น +4.2% 

กลุ่มที่ปรับขึ้นหลักๆ คือ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) กลุ่ม ICT(ADVANC) กลุ่มโรงไฟฟ้า(GULF


กลุ่มที่ลงหลักๆคือ  กลุ่มการเงิน TIDLOR , MTC, SAWAD Sell on facts หลัง กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย, กลุ่มโรงแรม (MINT)   


หากดูสถิติในอดีต อาทิ รอบ ธ.ค. 2551 และ เม.ย. 2563 ไทยก็เคยถูกสถาบันจัดอันดับ Credit rating ปรับลด Outlook ลงคล้ายกับปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับลงเพียงช่วงสั้นและกลับมาที่ระดับเดิม ภายใน 1 สัปดาห์ และผลตอบแทนตลาดหุ้นในช่วง 1 สัปดาห์หลังเกิดเหตุ เป็นบวกเฉลี่ยราว   4.3% และผลตอบแทนช่วง 2 สัปดาห์ เป็นบวกเฉลี่ยราว  7.8% คาดว่าผลกระทบต่อ SET Index  จำกัด  

 โดยปัจจัยหนุน SET Index  ระยะสั้นมาจาก  1.มาตรการกระตุ้นภายใน ทั้งการบริโภค ท่องเที่ยว รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ จาก ครม. ชุดใหม่ 2.ช่วงปลายปี 4Q25F เข้าสู่ฤดูกาลจับจ่าย  3.ท่องเที่ยวมีปัจจัยหนุน สัปดาห์หน้านักท่องเที่ยวจีนจะคึกคักสูงสุดก่อนเข้า Golden Week 1-8 ต.ค.   

4. 8 ต.ค. ประชุม กนง.  คาดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 0.25%  Krungsri Research คาดลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง โดยดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 0.25%  เป็น Upside ต่อหุ้นไทย 55 จุด   อย่างไรก็ตาม ไทยในอดีตเคยถูกปรับลด  Credit rating  ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 1997

 ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ  โดยตลาดจะติดตามความแข็งแรงภาคแรงงานสหรัฐฯ เราคาดไม่เห็นภาพทางอ่อนแอ ต่ำกว่าระดับ 1.0 แสนราย อิงดัชนีชี้นำเครื่องมือบ่งชี้ภาคแรงงานดัชนี PMI ผลิต+บริการ  รวมถึงมุมมองดอกเบี้ยขาลงน่าจะเดินหน้าต่อไป ขณะที่เอเชียมีความภาพบวกความคึกคัก Golden Week และภายในมีจิตวิทยาบวกการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่

 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย

  • •    29-30 ก.ย. ครม. ใหม่ แถลงนโยบายเราประเมินตลาดน่าจะให้น้ำหนักกลุ่มมาตรการ Quick-win อาทิ คนละครึ่งพลัส, ท่องเที่ยว, เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการคลายกฎระเบียบเปิดช่องดึงเม็ดเงินลงทุนทางตรง (FDI) เร็วขึ้น บวกต่อหุ้น Domestic ที่ยัง Deep Value อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว เช่าซื้อ นิคม
  •  30 ก.ย. ติดตามดัชนี PMI ก.ย.  ของจีน ภาคผลิตคาดว่าอยู่ที่  49.6 จุด จากเดิมอยู่ที่  49.4 จุด, ภาคบริการ คาด 50.3 จุด เท่า จากเดิมทรงตัว   ดัชนี PMI สำนัก RatingDog (Caixin เดิม) ก.ย. ภาคผลิตคาด 50.5 จุด จากเดิมอยู่ที่  51.9 จุด และภาคบริการคาด 53.0 จุด ทรงตัว
  • 1-8 ต.ค. คาดกระแสนักท่องเที่ยวจีนเดินทางคึกคักช่วง Golden Week คึกคักนับจากปลาย ก.ย. ต่อเนื่องช่วงหยุดยาว 
  •  2 ต.ค. ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร ก.ย.ของสหรัฐฯ  ตลาดคาด 0.43 แสนราย จากเดิมอยู่ที่ 2.2 หมื่นราย, อัตราการว่างงาน ก.ย. คาดอยู่ที่ 4.3% ทรงตัว

 กลยุทธ์การลงทุน ประเมินหุ้นเด่น เน้น หุ้นอิงดอกเบี้ยขาลง, หุ้น Domestic Deep Value ได้ประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่+กระแส Golden Week อาทิ ค้าปลีก ท่องเที่ยว เช่าซื้อ นิคม ผสาน หุ้น China Plays

แนะนำหุ้นเด่น 

•  PTT (TP Con-35.2): ลุ้นนโยบายพลังงานรัฐบาลใหม่หนุนธุรกิจก๊าซ ผสาน ปรับโครงสร้างภายใน ช่วยให้บ.ลูกแข็งแรงยาวพอรับประโยชน์ Anti-involution ใน Upcycle รอบใหม่ 

•  CPALL (TP25F-80): บวกมากสุดจากนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ คาดเน้นกระตุ้นบริโภค

•  AOT (TP Max Con-48): กระแสเข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว Golden Week จีน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง