รีเซต

"นักลงทุน" ปรับพอร์ตทิ้งหุ้นเติบโตหันลงทุนหุ้นคุณค่า ดักทางศก.โลกฟื้นหลังโควิดหาย

"นักลงทุน" ปรับพอร์ตทิ้งหุ้นเติบโตหันลงทุนหุ้นคุณค่า ดักทางศก.โลกฟื้นหลังโควิดหาย
มติชน
10 มีนาคม 2564 ( 14:45 )
100

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า การที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเคยสร้างผลตอบแทนสูงในปี 2020 ถูกเทขายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความคาดหวัง ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ประกอบกับการกระจายวัคซีนไปทั่วโลกมีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ทำให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกปรับพอร์ตลงทุน หันมาลงทุนในกลุ่มหุ้นคุณค่า (Value Stock) เช่น กลุ่มพลังงาน ท่องเที่ยว ขนส่ง และค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ในปีที่แล้ว แต่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวในอีกสองไตรมาสข้างหน้า

 

“ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศผลประกอบการของปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ขนส่ง ค้าปลีก หรือ หุ้นในกลุ่ม Value Stock ที่เคยได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่างปรับตัวขึ้น แม้จะรายงานผลประกอบการออกมาขาดทุนค่อนข้างมาก เป็นเพราะนักลงทุนมองว่าถึงจุดที่ Bottom Out ไปแล้ว และกำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้า เป็นธรรมชาติของการลงทุนที่ต้องมองอนาคตข้างหน้าสองไตรมาสเสมอ”นายณพวีร์กล่าว

 

นายณพวีร์กล่าวว่า ส่วนหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นในกองทุนของ Ark Invest ไม่ปรับตัวขึ้นร้อนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมา มองว่าเป็นการปรับฐานแบบ Healthy Correction หมายถึงการปรับฐานที่จะช่วยให้การเดินหน้าต่อเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น เพราะหากมองในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า หุ้นเทคโนโลยี ยังมีอนาคตอย่างแน่นอน แต่ในระยะสั้นราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมาเร็วและแรง ทำให้ค่า P/E ค่อนข้างสูง ซึ่งการปรับฐานลงมา จะเป็นจังหวะทยอยสะสม เพื่อลงทุนในระยะยาวได้

 

นายณพวีร์กล่าววา ทางด้าน ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่าง ตลาดหุ้นจีน เกาหลี และเวียดนาม ยังมีความน่าสนใจในการลงทุนเช่นกัน เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจสูง การที่ถูกเทขาย เนื่องจากราคาที่วิ่งขึ้นมาสูงจนสร้างจุดสูงสุดใหม่ จึงกลายเป็นเป้าหมายในการปรับพอร์ตของนักลงทุนทั่วโลก แต่ในระยะยาวยังสามารถสะสม เพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาวได้ โดยนักลงทุนไทยสามารถลงทุนในรูปแบบกองทุน ETF ที่เน้นสร้างผลตอบแทนล้อไปตามดัชนีได้ สำหรับ ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัว หลังจากที่ SET Index ยืนเหนือระดับ 1,500 จุดได้และเริ่มเห็นการกลับมาซื้อหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน แสดงให้เห็นว่าฟันด์โฟลว์ทั่วโลกกำลังกลับมาลงทุนในหุ้นที่เป็น Value Stock โดยจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่จะทยอยลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ธนาคาร ค้าปลีกและท่องเที่ยว น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในปีนี้

 

นายณพวีร์ กล่าวว่า สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คือ น้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 32% และแนวโน้มราคาเป็นขาขึ้นชัดเจน อย่างไรก็ตามหากไม่เกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ก็อาจไม่มีปัจจัยที่ผลักดันราคาน้ำมันให้พุ่งแรงได้ หากคิดจะลงทุนควรรอให้ราคาย่อตัวลงก่อน เพราะสำนักวิจัยการลงทุนเกือบทั้งหมด มองปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมันไว้ระดับเพียง 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ที่ถูกเทขายมาอย่างหนักนับตั้งแต่ต้นปี จนทำให้ผลตอบแทนลดลงกว่า 15% จากจุดสูงสุดของปีนี้แล้ว ซึ่งประเมินแนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นยังเป็นขาลงต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หรือ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่า ทองคำ จะกลับมาเป็นพระเอกได้อีกครั้ง แนะนำให้รอจังหวะที่ราคาทรงตัวได้ก่อน แล้วหาจังหวะทยอยสะสม เพื่อหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว

 

” ปีนี้ยังเป็นปีที่ดีของการลงทุน ทั้งในส่วนของหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโต ตลอดจนสินทรัพย์อื่นๆ จากเม็ดเงินลงทุนจากการทำคิวอีที่ยังไม่ถูกถอนออกจากระบบ หลายประเทศเริ่มออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ออกมาตรการมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ สินทรัพย์ดิจิทัล ยังคงสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากนักลงทุนรายย่อยลงทุนตามกระแสของฟันด์โฟลว์ได้ถูกจังหวะ ก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ดีในปีนี้”นายณพวีร์กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง