รีเซต

คนไทยต้องรู้! เปิดรายละเอียด "ดีลการค้า" และ MOU "แร่หายาก" สหรัฐฯ-ไทย ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง?

คนไทยต้องรู้! เปิดรายละเอียด "ดีลการค้า" และ MOU "แร่หายาก" สหรัฐฯ-ไทย ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง?
TNN ช่อง16
31 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
39

คนไทยต้องรู้! เปิดรายละเอียด ดีล(ไม่ลับ) สหรัฐฯ จับมือ ไทย  ลงทุน-การค้า-แร่หายาก 


ประธานาธิบดีทรัมป์ จับมือกับนายกอนุทินของไทย ลงนามข้อตกลงสำคัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญ ระหว่างประเทศไทย กับสหรัฐอเมริกา  ทั้งการค้า การลงทุน โดยเฉพาะสิ่งโลกกำลังจับตาเพราะมีความสำคัญในแง่ของตัวแปร่สงครามการค้า  "แร่หายาก" 

 

ความเคลื่อนไหวของผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-อาเซียนประจำปี ครั้งที่ 13 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งประเด็นสำคัญ สำหรับประเทศไทย คือ การพบกันนอกรอบระหว่างสหรัฐฯและไทย และผลออกมา คือ การบรรลุข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน และการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องแร่หายาก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา


เริ่มจากข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ ที่เป็นรายละเอียดต่อเนื่องมาจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของทางสหรัฐฯ หรือ Reciprocal Tarrif เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดได้เราโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 19%  ข้อมูลจากเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) ได้เปิดเผยรายละเอียด เอกสาร “Joint Statement on a Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade” หรือว่าด้วยกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและราชอาณาจักรไทย โดยเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาใจความสำคัญ เช่น  


ประเด็นสำคัญของข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน

การลดภาษีศุลกากร

-ไทยจะยกเลิกอุปสรรคทางภาษี (tariff barriers) ประมาณ 99% ของสินค้าจากสหรัฐฯทั้งหมด ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และสินค้าเกษตร

-สหรัฐฯจะยังคงอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากไทยไว้ที่ 19% 


การขจัดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เช่น ไทยให้คำมั่นว่าจะ

-ยอมรับรถยนต์ที่ผลิตตามมาตรฐานความปลอดภัยและการปล่อยมลพิษของสหรัฐฯ

-ยอมรับใบรับรองจากสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐ 


การเปิดตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น  ไทยจะ

-เร่งให้มีการเข้าถึงตลาดสำหรับเนื้อและสัตว์ปีกที่ผ่านการรับรองจาก FSIS (Food Safety and Inspection Service) ของสหรัฐ


มาตรฐานแรงงาน เช่น  เสริมสร้างการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการใช้แรงงานบังคับหรือแรงงานเด็ก


มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เช่น  ต่อต้านการค้าผลิตภัณฑ์ไม้ที่ตัดอย่างผิดกฎหมาย ปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) และการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย


ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) เช่น  ไทยจะแก้ไขปัญหาการละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ แก้ไขปัญหาความล่าช้าในการจดสิทธิบัตร


การค้าและบริการดิจิทัล เช่น  ไทยให้คำมั่นว่าจะ

-ไม่เก็บภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) 

-ไม่กำหนดโควตาฉายภาพยนตร์(screen quotas) ในประเทศ

-ผ่อนคลายข้อจำกัดการถือครองหุ้นของนักลงทุนสหรัฐในภาคโทรคมนาคมของไทย


ข้อตกลงเชิงพาณิชย์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างภาคเอกชนไทย–สหรัฐฯ 

ทั้งสองฝ่ายรับทราบถึง ดีลทางการค้าขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่

-การจัดซื้อสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดอาหารสัตว์ กากถั่วเหลือง และ DDGS (ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตเอทานอล) มูลค่าประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

-การจัดซื้อผลิตภัณฑ์พลังงาน เช่น LNG, น้ำมันดิบ และเอเทน (ethane) มูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

-การจัดซื้อเครื่องบินสหรัฐฯ จำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ




MOU "แร่หายาก" สหรัฐฯ-ไทย ความร่วมมือครั้งสำคัญ ภายใต้กรอบกฎหมายไทย 


อีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญ ที่เกิดขึ้น ระหว่างไทย-สหรัฐฯ หรือการเซ็น MOU ความร่วมมือเรื่องแร่หายาก ซึ่งนายกฯอนุทินยืนยันว่าอยู่ภายใต้กฎหมายไทย


แร่หายาก หรือ แรร์เอิร์ธ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปถึงยานยนต์ไฟฟ้า และเครื่องบินรบ ซึ่งในปัจจุบันนี้จีนเป็นผู้ครองส่วนแบ่งรายใหญ่และรายสำคัญของโลก ทั้งในแง่การสำรองและการส่งออก มีสัดส่วนมากกว่า 90 % ของตลาด ซึ่งแร่หายากได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังจากมีการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ จีนได้เริ่มจำกัดและควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างเข้มงวด จนไปกระทบต่อห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมสำคัญต่างๆ ถึงขั้นว่าเกิดภาวะขาดแคลนและทำให้บางอุตสาหกรรมต้องหยุดชะงักมาแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา  


นายอนุทิน ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) กับสหรัฐฯ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรวิตกกังวล เอกสารดังกล่าว อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายใด ๆ


โดยอธิบายว่า “MOU แรร์เอิร์ธ” หมายถึงการแสดงเจตจำนงร่วมมือในด้านแร่ธาตุที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นแนวทางปกติในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขชัดเจนว่า ทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และกฎหมายของไทยทั้งหมด 


และระบุว่าสหรัฐฯ แสดงความต้องการเข้ามาร่วมพัฒนาเทคโนโลยี และการวิจัยในสาขาแร่หายาก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในทรัพยากร แต่ยังขาดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี โดย MOU ฉบับนี้เป็นเพียงแนวทางความร่วมมือเบื้องต้น ไม่ได้มีข้อผูกพันหรือบังคับให้ไทยต้องดำเนินการใด ๆ หากต่อมาเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็สามารถยุติข้อตกลงได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากอีกฝ่าย


พร้อมย้ำว่านี่คือ MOU จริงๆ เป็นเพียงความเข้าใจร่วมกัน ไม่ใช่สนธิสัญญา หรือสัญญาทางกฎหมาย (Agreement/Contract/Treaty) ดังนั้นไม่มีผลผูกพันใดๆ ต่อประเทศ  และรัฐบาลพร้อมเปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เพราะไม่มีสิ่งใดต้องปกปิด ทุกอย่างอยู่บนหลักความโปร่งใสและผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง


นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และจากข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่มีแหล่งที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นการลงนามใน MOU นี้จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการสำรวจ การแปรรูป และการใช้ประโยชน์จากแร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า 


พร้อมย้ำว่าความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ร่วมกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพ สำหรับการลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข้อมูล การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย และหากจะมีการลงทุนในประเทศไทยจริง ผู้ประกอบการก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของไทย รวมถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนอย่างเข้มงวด


รัฐบาลประสานเสียง MOU "แร่หายาก" เป็นผลดีต่อประเทศไทย ไม่ใช่การเอื้อต่อสหรัฐฯเป็นการเฉพาะ 


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 เพื่อชี้แจงถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแร่หายากของโลก หรือ แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Element) กับสหรัฐอเมริกาว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบการลงนามดังกล่าวแล้ว ซึ่งอยากสร้างความชัดเจนให้ประชาชนได้รับทราบ โดยรายละเอียดของเรื่องนี้


1. MOU ฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมาย เป็นเพียงข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน เพื่อร่วมมือกันในการพิจารณาห่วงโซ่อุปทาน และเรื่องการส่งเสริมความลงทุนแร่หายาก หรือ แร่แรร์เอิร์ธ 

2. ต้องการส่งเสริมการค้าการลงทุน ในอุตสาหกรรมการสำรวจ, การสกัด, การแปรรูป , การกลั่น, การรีไซเคิล, การกู้คืน และการดูแลรักษาแร่หายาก ซึ่งถือเป็นห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นกระบวนการการสำรวจ ไปจนถึงการสกัด รวมไปถึงการรีไซเคิล และการกู้คืน 

3. การสนับสนุนการลงทุนที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และอุตสาหกรรมการสกัด 

4. สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาด คือ การทำให้แร่หายากนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ


ส่วนขอบเขตของการร่วมมือ คือ 

1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่เกี่ยวกับการปฏิบัติเป็นเลิศในระดับสากล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย 

2. ให้เจ้าหน้าที่ของประเทศภาคี สามารถจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนา และการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และกลไกต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 

3. ให้ความสำคัญแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี ทั้งการออกใบอนุญาตการลดขั้นตอน 

4. การแลกเปลี่ยนข้อมูลในโครงการต่าง ๆ และราคาสินค้าแร่หายาก 

5. ให้ประเทศภาคี ระหว่าง 2 ประเทศให้การคุ้มครองตลาด โดยการอิงกลไกตลาด ปฏิบัติการทางการค้าอย่างเป็นธรรม รวมไปถึงมาตรฐานการค้าขาย ซึ่งจะทำให้เกิดกลไกการกำหนดราคา และกลไกที่จะทำให้เป็นมาตรฐานสากล


ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การตกลงทั้งหมด ทั้งวัตถุประสงค์ และขอบเขตความร่วมมือ เป็นการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก และขอย้ำว่า เป็นความตกลงร่วมมือ หรือ MOU ซึ่งไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของประเทศใดประเภทหนึ่ง ประเทศใดแต่สามารถทำได้กับประเทศใด ๆ ก็ได้


นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และยังไม่มีแหล่งที่มีประสิทธิภาพในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นการลงนามดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยเสริมความมั่นคง และเพิ่มห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายาก โดยเฉพาะในด้านการสำรวจ และการใช้ประโยชน์แร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น พลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการลงนามข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีเสถียรภาพ


สำหรับการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ ที่จะทำให้ไทยได้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข้อมูล ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการลงทุน พร้อมย้ำว่า MOU ฉบับนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย แม้ว่าจะมีการลงนามฉบับนี้ ผู้ประกอบการต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และคำนึงถึง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน


ส่วนคำถามว่าการลงนามดังกล่าว เกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีสหรัฐฯหรือไม่ นายเอกนิติ กล่าวว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในทุกมิติ ซึ่งเขาค่อนข้างที่จะให้โอกาสประเทศไทย ในฐานะที่มีความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง MOU ที่จะให้ร่วมลงทุน และศึกษา แต่ความสัมพันธ์ที่ดี และแน่นแฟ้น จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถเจรจาต่อรอง ในเรื่องของการค้าต่างตอบแทน


ปัจจุบันนี้สหรัฐฯ ได้เปิดช่องทางในเอกสารแนบท้าย สามารถให้ประเทศที่สหรัฐฯมีความสัมพันธ์ที่ดี เจรจาต่อรอง เพื่อที่จะสามารถนำสินค้า หรือบริการบางประเภท เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษ ในการที่จะที่จะยกเว้นภาษี 19 % กรอบใหญ่ หรือจะลดภาษีในบางส่วนของสินค้าบางรายการ ซึ่งต้องนำมาเจรจาต่อไป


เรื่องนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์การเจรจา ที่เราได้ดำเนินการร่วมกัน โดย กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน ซึ่งถือเป็นกรอบการเจรจา ส่วนรายละเอียดต้องลงกันอีกเยอะ แต่ค่อนข้างเป็นบวกสำหรับประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย เพราะประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ตอนนี้ถูกเรียกภาษีอยู่ที่ประมาณ 19 % เช่นกัน หากไทยสามารถเจรจาตามกรอบดังกล่าวได้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย


นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า เนื้อหาของ MOU กำหนดว่า มีสิทธิ์ที่จะลงทุนและสำรวจทั้ง 2 ประเทศ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายภายในของประเทศนั้น ๆ และ MOU เขียนชัดเจนว่า ไม่มีผลผูกพันกับกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นไม่เป็นหนังสือสัญญาตาม ม.178 แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ประเทศไทยกับสหรัฐฯที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่หายากให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ขณะนี้ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ทางคณะรัฐมนตรีก็มีข้อห่วงกังวล การประชุมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้แสดงความห่วงกังวลในเรื่องนี้ และบอกว่า การดำเนินการต่าง ๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายไทยหากจะมาลงทุนในไทย ส่วนกรณีที่ไทยจะไปลงทุนที่ประเทศสหรัฐฯ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายประเทศสหรัฐฯ เช่นกัน


นายปกรณ์ ยืนยันว่า การลงนามดังกล่าวไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯเป็นการเฉพาะ แต่เราดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มข้น เพื่อให้เข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เพื่อยกระดับกฎหมายของไทย ทั้งการค้า การลงทุนกับสหภาพยุโรปด้วย


ส่วนคำว่า First opportunity to invest โดยข้อความดังกล่าว หากยกมาข้อความเดียว อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งความจริงแล้วมันเริ่มต้นด้วยคำว่า Participant have first opportunity to invest ซึ่งหมายความว่า การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ในฐานะผู้เป็นคู่สัญญา แต่ว่าในการดำเนินการนั้น จะต้องยึดกฎหมายของแต่ละประเทศ นั่นก็คือ กฎหมายแร่ ที่ไทยกำหนดไว้ว่า ต้องมีการเปิดประมูลในวิธีการที่เสรีเป็นธรรม ให้สอดคล้องกับองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) หรือ WTO


พร้อมกันนี้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า MOU ดังกล่าว สามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ และอีกข้อกังวลหนึ่งที่ MOU เขียนไว้ว่า การยกเลิก MOU จะไม่มีผลต่อสิ่งที่ดำเนินการไปแล้วนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น และหากจะดำเนินการก็ต้องให้ กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าตามกฎหมายของไทย


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง