BCHหุ้นผลตอบแทนดี กำไรเติบโตแข็งแกร่ง
ทันหุ้น-บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS อัพเกรดคำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือนสำหรับ BCH สู่ OUTPERFORM (จาก NEUTRAL) โดยมองว่าช่วงเวลานี้เป็นจุดกลับเข้าซื้อที่ดี เนื่องจากราคาหุ้น BCH ถูก de-rate ลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยเทรดที่ระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีตของบริษัท ซึ่งบ่งชี้ว่าความกังวลของตลาดเกี่ยวกับการลดลงของกำไรในระยะสั้นได้สะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
หากหักบริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ออกไป คาดว่ากำไรของ BCH จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ CAGR 18% ในปี 2563-66 โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นจากผู้ป่วยคนไทย บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการที่โรงพยาบาลใหม่ เราเล็งเห็น upside ของกำไรจากการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ใน สปป.ลาว เพราะโรงพยาบาลระดับตติยภูมิใน สปป.ลาว มีจำนวนจำกัด
ทั้งนี้ราคาหุ้น BCH ถูก de-rate ลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยลดลง 23% จากจุดสูงสุดล่าสุดในเดือนส.ค. ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มที่กำไรของ BCH จะกลับคืนสู่ระดับปกติหลังจากอยู่ในระดับสูงมากเป็นพิเศษในไตรมาส2-ไตรมาส3/2564 เนื่องจากความต้องการใช้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 จะลดน้อยลง
ปัจจุบันเรามองว่าช่วงเวลานี้เป็นจุดกลับเข้าซื้อที่ดีเพื่อสะสมหุ้น BCH เนื่องจากปัจจุบัน BCH เทรดที่ PE ปี 2565 ระดับ 33 เท่า (อิงกับ EPS ไม่รวมบริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19) ใกล้เคียงกับกรอบล่างที่ 32 เท่า ซึ่งเท่ากับระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีตของบริษัทในปี 2558-62 (ระดับก่อนโควิด-19 ระบาด) ซึ่งบ่งชี้ว่ามุมมองเชิงลบในระยะสั้นของตลาดเกี่ยวกับการลดลงของกำไรได้สะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 อ้างอิงวิธี DCF ของเราที่ 24 บาท/หุ้น สะท้อนถึง PE ปี 2565 ระดับ 38 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 40 เท่าอยู่เล็กน้อย และบ่งชี้ถึงแนวโน้ม upside gain 17%
ระยะยาวแข็งแกร่ง
รายได้จากบริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 มีนัยสำคัญต่อผลประกอบการปี 2564 ของ BCH แต่มีแนวโน้มที่จะลดลงตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป เพราะสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หากตัดบริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 ออกไป เราคาดว่า BCH จะมีกำไรแข็งแกร่งที่ 1.6 พันลบ. ในปี 2565 และ 1.9 พันลบ. ในปี 2566หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ CAGR 18% ในปี 2563-66 ประกอบด้วยรายได้ที่เติบโตที่ CAGR 11%
โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยคนไทย (90% ของรายได้ก่อนโควิด-19 ระบาด) ทั้งกลุ่มที่เสียค่ารักษาเองและกลุ่มประกันสังคม บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติ (10%) ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และอัตรากำไรปกติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 14% ในปี 2563 สู่ 15.5% ในปี 2566จากการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการที่โรงพยาบาลเปิดใหม่ ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ (เปิดให้บริการในเดือนพ.ค. 2563) โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี (เปิดให้บริการในเดือนม.ค. 2564)
และ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ (เปิดให้บริการในเดือนส.ค. 2564) โดยโรงพยาบาลแห่งหลังสุดนี้มีการดำเนินงานที่ดี เพราะโรงพยาบาลระดับตติยภูมิใน สปป.ลาว มีจำนวนจำกัด เราประเมินว่ากำไรในปี 2565-66 จะมี upside 5-7%หากจุดคุ้มทุนที่ระดับกำไรสุทธิสั้นลงหนึ่งปีเป็นปี 2566จากประมาณปัจจุบันของเราในปี 2567
กำไรQ3/64ทำสถิติสูงสุด
เราคาดการณ์กำไรปกติไตรมาส3/2564 ของ BCH ที่ 2.1 พันลบ. เพิ่มขึ้นมากถึง 407% YoY และ 83% QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งที่ 6.5 พันลบ. เพิ่มขึ้น 173% YoY และ 49% QoQ โดยรายได้เพิ่มเติมจากบริการที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 จะคิดเป็นสัดส่วน 72% ของรายได้ใน 3Q64 ของ BCH ด้วยเหตุนี้ เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 34% แต่ยังคงประมาณการปี 2565-66 ไว้เหมือนเดิม ประเมินราคาพื้นฐานอยู่ที่ 24 บาทต่อหุ้น