"EVEANDBOY" ทุ่ม 600 ล้านบาท ปูพรม 25 สาขา รับตลาดโตพุ่ง l การตลาดเงินล้าน

คุณหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด ให้มุมมองถึงตลาดความงามปี 2568 นี้ บอกว่า ตลาดจะเติบโตได้ดี เห็นได้จากแบรนด์ต่าง ๆ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก รวมทั้ง อีฟแอนด์บอย เองในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ก็มีตัวเลขการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 30 รวมถึง เป้าหมายทั้งปี ก็คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 30 เช่นกัน
จากปีที่แล้ว (2567) ตลาดความงามของไทย มีมูลค่าอยู่ที่ราว 281,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน ที่ร้อยละ 10.4 ซึ่งปัจจัยที่เกื้อหนุนการเติบโตของตลาดในภาพรวม มาจากการเติบโตในช่องทางออนไลน์ และความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้น
ส่วนผลประกอบการของ อีฟแอนด์บอย ในปีที่ผ่านมา เติบโตสูงถึงร้อยละ 40 ด้วยมูลค่าราว 7,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
กลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุด คือกลุ่มเครื่องสำอาง เติบโตร้อยละ 45 ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เติบโตร้อยละ 40 กลุ่มน้ำหอม ร้อยละ 35 และกลุ่มอื่น ๆ ก็ยังเติบโตได้ดีเช่นกัน
โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นคนไทยถึงร้อยละ 90 และส่วนที่เหลือเป็นต่างชาติ ที่ร้อยละ 10 ขณะที่ยอดขายหน้าร้านยังเป็นช่องทางที่ทำรายได้หลักที่ร้อยละ 90 และอีกร้อยละ 10 เป็นออนไลน์ และเชื่อว่า ช่องทางหน้าร้านยังเป็นช่องทางหลักที่สำคัญ เพราะผู้บริโภคยังต้องการหยิบจับ และทดลองสินค้าอยู่
สำหรับแผนปี 2568 นี้ จะเน้นความหลากหลายของสินค้า มัลติแบรนด์ รวมถึงนำเข้าผลิตภัณฑ์ เอ็กซ์คลูซีฟ แบรนด์ ที่เป็นกระแสบนโซเชียลมีเดีย เข้ามาเสริมทัพให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สร้างจุดแข็งให้กับบริษัทฯ รวมถึงการมี เอ็กซ์คลูซีฟ โพรดักส์
และจะมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุดผ่านการขยายสาขาหน้าร้าน โดยจะใช้งบลงทุนราว 600 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบการตลาด และลงทุนขยายสาขาอีก 25 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จะทำให้ภายในสิ้นปีจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 65 สาขา และเป้าหมายในปี 2571 จะมีสาขาอีฟแอนด์บอยทั้งหมด 140 สาขา
อีกจุดแข็งของ อีฟแอนด์บอย คือความหลากหลายของสินค้า และหลากหลายราคา รวมถึงการบริการ และการเป็น ออฟฟิศเชียล พาร์ทเนอร์ กับทางแบรนด์ ดังนั้น สินค้าที่นำมาจำหน่ายภายในร้าน จึงเป็นสินค้าของแท้
ส่วนเรื่องผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อถดถอยนั้น ซีอีโอ อีฟแอนด์บอย กล่าวว่า ไม่ได้ส่งผล กระทบต่อตลาดความงาม เพราะ เศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คนไทยยังให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ซึ่งเรื่องบิวตี้ เป็นสิ่งที่ผูกติดกับชีวิตคนอยู่แล้ว
เห็นได้จากยอดขายช่วงที่ผ่านมา สินค้าในทุกระดับราคา ยังไปได้ดี รวมถึงสินค้าที่มีราคาสูงอย่างกลุ่มน้ำหอม ก็ยังมีคนยินดีจะจ่ายอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งที่ตลาดยังเติบโตต่อ ก็คือขนาดของตลาดความงามของไทย ยังถือว่ามีขนาดเล็กมากเพื่อเทียบกับที่อื่น ๆ เช่น เล็กกว่าตลาดที่ เกาหลี และญี่ปุ่น ถึง 4 เท่า ดังนั้น ในประเทศไทยจึงมีช่องว่างที่สามารถเติบโตได้อีกมาก
แต่สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง คือพฤติกรรมของผู้บริโภค คือเปลี่ยนเร็ว เบื่อง่าย ความภักดีต่อแบรนด์ก็ลดลง โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ดังนั้น แบรนด์ต้องเปลี่ยนให้เร็ว ปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ
และอีกเทรนด์ที่มาแรง คือคนไทยหันมาใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น สนุกกับการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีในตลาดโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่อง แบรนด์ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดความงามปีนี้ มีความคึกคักมากขึ้นด้วย