งบประมาณ 2569 แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ได้เปิดเผยภาพความท้าทายครั้งใหญ่ที่รัฐบาลต้องเผชิญ เมื่อเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤตจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ขณะที่การเติบโตในประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงถึงกรอบงบประมาณรวม 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% จากปีงบประมาณ 2568 โดยยืนยันว่าการขาดดุล 8.6 แสนล้านบาทนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ เนื่องจากมีการรวมยอดการคืนหนี้สาธารณะประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ยอดขาดดุลจริงอยู่ที่ 7.1 แสนล้านบาท หรือขาดดุลสุทธิเพียง 3.5%
แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเผยให้เห็นถึงกลยุทธ์การจัดสรรงบประมาณที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ โดยรายจ่ายประจำคิดเป็น 70% ของงบประมาณทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะควบคุมและใช้จ่ายงบประจำให้น้อยลง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ ส่วนที่เหลือ 30% ได้แบ่งไปชำระคืนหนี้สาธารณะ 4% และงบลงทุน 23% หรือประมาณ 8.64 แสนล้านบาท
นายพิชัยเน้นย้ำว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชนด้วย ปัจจุบันการลงทุนรวมของภาครัฐและเอกชนอยู่ที่ประมาณ 24% ของจีดีพี ลดลงจากในอดีตที่เคยอยู่ที่ 50% ซึ่งจำเป็นต้องขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้นประมาณ 10%
รัฐบาลได้วางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ครอบคลุมถนน ราง ท่าเรือ สนามบิน มูลค่ารวม 2 แสนล้านบาท พร้อมทั้งการลงทุนระบบน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค การเกษตรและอุตสาหกรรม อีก 1.34 แสนล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ
เป้าหมายกระตุ้นการลงทุนเอกชนสู่ระดับ 30%
รองนายกรัฐมนตรีได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาวของรัฐบาล โดยตั้งเป้าหมายให้ภาคเอกชนกลับมาลงทุนไม่น้อยกว่า 30% เมื่อรวมกับภาครัฐแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 34-35% ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ขนาดเศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อีก 1.5% หรือขึ้นไปสู่ระดับ 4.0-4.5% ที่ถือว่าเป็นระดับที่ดีมาก
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่เคยมีวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 2.5 หมื่นล้านบาท นายพิชัยระบุว่าจะมีการทบทวนอีกครั้ง เนื่องจากมีคำขอรับงบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ มากถึง 3 เท่าจากงบที่มีอยู่ โดยต้องการให้งบกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดการสร้างงานได้จริง
ฝ่ายค้านเตือนภัยเศรษฐกิจโตเหลือ 1%
ก่อนหน้าการลงมติ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้กล่าวสรุปปิดการอภิปรายด้วยความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยมองว่าปัญหาสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจคงไม่จบง่าย และเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับไทยในปีนี้ คือ เศรษฐกิจอาจเติบโตได้เพียง 1.3% และอาจเหลือแค่ 1% ในปี 2569
นางสาวศิริกัญญาชี้ให้เห็นว่าแม้สงครามการค้าจะดีขึ้น แต่ไทยก็ต้องเผชิญกับพายุหมุนทางสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่เข้ามากระแทก ในขณะที่เศรษฐกิจภายในก็อ่อนแอ เธอวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่ยอมกลับไปจัดทำงบประมาณใหม่ทั้งที่เคยมีการรื้องบประมาณในปี 2567 และ 2568 เพื่อเบิกจ่ายโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่เมื่อเผชิญวิกฤตที่รอคอยข้างหน้ากลับไม่ดำเนินการ
ดิจิทัลวอลเล็ตเหลือเงิน 2.5 หมื่นล้าน "ลุ้นยิ่งกว่าหวย"
รองหัวหน้าพรรคประชาชนเผยความกังวลเกี่ยวกับงบกลางที่มีความยืดหยุ่น โดยงบสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2569 มีวงเงิน 25,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2568 ที่มีวงเงิน 187,700 ล้านบาท โดยไม่เข้าใจว่ายืดหยุ่นอย่างไร หากไม่มีโครงการมารองรับ
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท นางสาวศิริกัญญามองว่าคงมาแน่ในปี 2569 แต่รัฐบาลจะมีเงินแจกเพียง 25,000 ล้านบาท จึงต้องมาลุ้นกันว่าใครจะเป็นผู้โชคดี 2.5 ล้านคน โดยเปรียบเทียบว่า "ลุ้นยิ่งกว่าหวยว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชน 16-20 ปี คนทำงานอายุ 21-25 ปี หรือจะเป็นคนใกล้เกษียณ 55-59 ปี"
การตั้งงบประจำต่ำกว่าความเป็นจริง
ประเด็นที่นางสาวศิริกัญญาให้ความสำคัญมากที่สุดคือการจัดสรรรายจ่ายประจำ ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าน้อยที่สุดในรอบ 18 ปี แต่ความจริงแล้วเป็นการตั้งงบให้ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยงบชำระดอกเบี้ยขาดไป 65,000 ล้านบาท งบบำนาญขาดไป 51,000 ล้านบาท การตั้งงบค่ารักษาพยาบาลไม่เพียงพอ และกองทุนประชารัฐลดเหลือ 3 หมื่นล้านบาท
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในปี 2567 ที่ต้องไปเอางบคงคลังออกมาใช้จ่ายบำนาญ 42,000 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล 24,000 ล้านบาท เงินเดือนค่าราชการ 17,000 ล้านบาท และจ่ายดอกเบี้ย 40,000 ล้านบาท รวมเป็น 120,000 ล้านบาท ทำให้ปี 2569 ต้องตั้งงบชดเชย แต่ปีนี้ก็ตั้งใจตั้งงบให้ไม่พอเพื่อให้ตัวเลขดูดี
ฝ่ายค้านยืนยันตรวจสอบงบประมาณอย่างเต็มที่
แม้นางสาวศิริกัญญาจะมั่นใจว่าร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการแล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้มาก แต่ฝ่ายค้านยืนยันว่าจะทำหน้าที่ต่อไปและตรวจสอบงบประมาณอย่างเต็มที่ ลด เลิก เลื่อนโครงการที่ไม่จำเป็น โครงการที่ไม่สำคัญ เพื่อให้สมศักดิ์ศรีการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน
การพิจารณางบประมาณปี 2569 ครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการกำหนดทิศทางการใช้จ่ายของรัฐ แต่ยังเป็นการทดสอบความสามารถของรัฐบาลในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึง ซึ่งผลลัพธ์จะปรากฏชัดในช่วงการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการต่อไป