อยากอยู่อเมริกา จ่ายแค่ 1 ล้านดอลลาร์ "ทรัมป์" เปิดปุ่มรับสมัครแล้ว "วีซ่าทองคำ" Trump Gold Card คัดคนคุณภาพเข้าประเทศ

แค่จ่ายก็จบ? "ทรัมป์" เปิดปุ่มรับสมัครแล้ว "วีซ่าทองคำ" Trump Gold Card ต่างชาติอยากย้ายมาอยู่อเมริกา จ่ายแค่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
พูดจริง ทำจริง เปิดรับสมัครแล้ว "วีซ่าทองคำ" หรือบัตรทองของทรัมป์ (Trump Gold Card) จ่ายแค่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 32 ล้านบาท) ก็ได้วีซ่าอยู่พำนักในสหรัฐฯ แบบถาวร พูดง่ายๆ เหมือนกับใช้เงินซื้อกรีนการ์ด ใช้เงินซื้อตั๋วเข้าไปอยู่ในอเมริกา
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างปรากฎการณ์อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว "Trump Gold Card" หรือบัตรทองทรัมป์ บัตรผ่านทาง วีซาทางด่วนสำหรับชาวต่างชาติทั่วโลก ที่จ่ายเงินให้กับรัฐบาล เพียงแค่ 1 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถรับสถานะผู้พำนักถาวรได้ทันที และยังไม่จบเพียงแค่บัตรทอง เพราะล่าสุดทรัมป์ก็เตรียมเปิดตัว "Platinum Card" อีกหนึ่งบัตรที่พิเศษเหนือชั้นยิ่งกว่าบัตรทอง ที่จ่ายในราคา 5 ล้านดอลลาร์ โดยจะให้สิทธิ์อาศัยในสหรัฐฯ สูงสุด 270 วันแบบไม่เสียภาษีรายได้จากต่างประเทศ
โครงการ "Trump Gold Card" หรือวีซ่าทองคำ ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทาง เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 เป็นเส้นทางพิเศษที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติจ่ายเงิน 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเร่งรัดการขอวีซาเข้ามาอยู่เข้ามาทำงานในประเทศ และนอกจากในกรณีบุคคลแล้ว ยังมีโครงการบัตรทองสำหรับบริษัทด้วย ซึ่งอนุญาตให้บริษัทต่างๆ ขอวีซ่าแบบเร่งด่วนให้พนักงานที่ต้องการนำเข้ามาทำงานในสหรัฐ โดยต้องจ่ายเงินบริจาค 2 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงานหนึ่งคน
แต่ทั้งนี้ผู้สมัครทุกคนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อดำเนินการ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินส่วนนี้ไม่สามารถขอคืนได้ ไม่ว่าจะได้รับการอนุมัติบัตรทองหรือไม่ก็ตาม และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังมีอำนาจในการระงับหรือเพิกถอนสถานะบัตรทอง “ได้ตลอดเวลา” หากตรวจพบในภายหลัง ว่าบุคคลนั้นกระทำการเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ
วันนี้เว็บไซต์ทางการ trumpcard.gov เริ่มเปิดให้ใช้งาน พร้อมปุ่มกด ให้สมัครได้ทันที โดยระบุว่า ผู้สมัครที่ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นและจ่ายค่าธรรมเนียม 15,000 ดอลลาร์แก่กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ (DHS) รวมถึงเงินสมทบ 1,000,000 ดอลลาร์ จะได้รับสถานะผู้พำนักถาวรใน "ระยะเวลาที่สั้นเป็นพิเศษ"
ข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่า เมื่อส่งเอกสารครบถ้วน กระบวนการพิจารณาจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ และผู้สมัครต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ รวมถึงยื่นเอกสารเพิ่มเติมตามความจำเป็น ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการอนุมัติจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มวีซา EB-1 หรือ EB-2 ซึ่งเป็นประเภทวีซาสำหรับผู้มีความสามารถเฉพาะทางเป็นพิเศษ ในสาขาต่าง ๆ
นอกจาก Gold Card แล้ว สิ่งที่น่าสนใจ คือ เว็บไซต์ยังได้เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีโครงการระดับสูงกว่า นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "Trump Platinum Card" ซึ่งล่าสุดขณะนี้เปิดให้ลงชื่อรอคิวไว้ก่อน โดยบัตรแพลตินัมนี้มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 5,000,000 ดอลลาร์ แลกกับการที่ผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิ์พำนักในสหรัฐฯ สูงสุด 270 วัน และที่พิเศษมากๆ คือคุณไม่ต้องเสียภาษีรายได้ที่มาจากนอกประเทศ ซึ่งในตัวของบัตรแพลตินัมยังเพียงแค่ให้ลงชื่อรอเท่านั้น ยังไม่มีกรอบระบุอย่างเป็นทางการชัดเจนว่าจะเริ่มได้เมื่อใดกันแน่
สำหรับกระบวนการของการขอบัตรทอง เว็บไซต์ระบุว่าหลังผ่านการตรวจสอบประวัติหรือกระบวนการคัดกรองผ่านแล้ว ทางผู้สมัครจะต้องทำการชำระ “เงินบริจาค” ซึ่งเว็บไซต์ใช้คำว่าค่า “ของขวัญ” จำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นคนที่จ่ายเงินก้อนนี้ก็จะได้รับวีซ่าที่มีลักษณะคล้าย “กรีนการ์ด” ซึ่งอนุญาตให้พำนักและทำงานในสหรัฐฯได้นั่นเอง
ทรัมป์อ้าง "Trump Gold Card" ดีกว่า แข็งแกร่งกว่า "Green Card" คัดเฉพาะคนคุณภาพสูงเข้าสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวถึงโครงการนี้ด้วยเชื่อมั่นว่า Gold Card บัตรทองของเค้า จะสามารถขายได้หลักหลายล้านใบ พร้อมย้ำว่าโครงการบัตรทองนั้นก็เหมือนกรีนการ์ด แต่ดีกว่ามาก ทรงพลังกว่ามาก และเป็นเส้นทางที่แข็งแกร่งกว่าอย่างมากด้วย พร้อมระบุว่าโครงการนี้คือเส้นทางตรงสู่การเป็นพลเมืองสหรัฐฯ และรัฐบาลจะคัดเฉพาะคนที่มีความสามารถสูงเท่านั้น ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวด และที่สำคัญจะมาช่วยให้บริษัทอเมริกันสามารถรักษาบุคลากรที่มีคุณค่าไว้ได้มากขึ้นด้วย
ทรัมป์กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐอเมริกาเจอปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายหลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย ท่ามกลางระบบการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯที่ล่มสลาย และตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ชาวอเมริกันและผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจะได้รับผลประโยชน์ จากระบบการอพยพที่ถูกกฎหมายอย่างแท้จริง
ทรัมป์กล่าวว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรทองนี้จะเข้ามาอย่างรวดเร็ว และตัวเลขอาจจะพุ่งสูงไปถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินเหล่านี้ก็จะหลั่งไหลเข้าสู่คลังของรัฐบาล เพื่อนำไปใช้ลดภาษี ส่งเสริมโครงการการเติบโตและพัฒนา และการชำระหนี้ที่กำลังแบกไว้จำนวนมาก โครงการบัตรทองนี้ คือ การสร้างความสมดุลในแบบของทรัมป์ เช่นเดียวกับการขึ้นภาษีการค้า หรือมาตรการภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศออกมาในช่วงเดือนเมษายน และทรัมป์ก็อ้างว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทำให้ประเทศอเมริกาโกยเงินรายได้จากภาษีศุลกากร สร้างรายรับมหาศาล
ทางด้านของ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า กล่าวว่า หากทำได้ตามเป้า อาจสามารถระดมเงินถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปใช้ลดหนี้ของสหรัฐฯ พร้อมชี้ว่าระบบกรีนการ์ดเดิม ทำให้สหรัฐฯ รับคนระดับล่างเข้ามามากเกินไป แต่โครงการใหม่นี้ จะคัดเลือกเฉพาะผู้มีความสามารถระดับสูงเท่านั้น และเปิดเผยว่าขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนสมัครรับบัตรทางล่วงหน้าแล้วประมาณ 10,000 คนแล้ว และคาดการณ์ว่าในอนาคต รัฐบาลจะขายบัตรทองเหล่านี้ได้อีกเป็นพันๆ ใบ ตอกย้ำว่าโครงการบัตรทองนี้เป็นจะประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง
รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า บัตรทองโครงการนี้ถูกออกแบบให้เป็นการดัดแปลงจาก โครงการ EB-5 เดิม ซึ่งเป็นช่องทางให้ชาวต่างชาติลงทุนในโครงการสร้างงานในสหรัฐฯ เพื่อแลกสิทธิขอวีซาถาวร โดยรัฐบาลจะปรับสัญญา EB-5 ใหม่ และให้ผู้สมัครลงทุนตามข้อกำหนดหลังได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ แต่อย่างไรก็ตามมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายบางคนย้ำว่า ถ้าจะยุติหรือเปลี่ยนแปลงโครงการ EB-5 อย่างจริง ๆ จัง ๆ จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส
สำหรับบัตรทองของทรัมป์ โครงการโกยเงินเข้าประเทศของสหรัฐฯครั้งใหม่นี้ เป็นโครงการที่เปิดตัวหรืออกมาท่ามกลางนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังการคุมเข้มการเข้าเมืองทุกรูปแบบ มีข่าวการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองอย่างกว้างขวาง พร้อมขับไล่หรือเนรเทศผู้ที่อยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมายอีกหลายแสนคน และยังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อกีดกันการอพยพเข้าเมืองแบบถูกต้องตามกฎหมายด้วยเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกันหากคุณเป็นเศรษฐีมีเงิน แค่จ่ายก็จบ สำหรับบัตรทองของทรัมป์ ซึ่งทรัมป์เริ่มป่าวประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปีช่วงกุมภาพันธ์ เกริ่นว่าจะเป็นเส้นทางสู่การขอสัญชาติอเมริกันสำหรับเหล่าเศรษฐีจากทั่วโลก แค่จ่ายเงินที่ 5,000,000 ดอลลาร์ แต่ภายหลังได้ปรับลดราคาลงเหลือที่จำนวน 1,000,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน หลังจากลงนามเอกสารเมื่อเดือนกันยายน 2568
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
