รีเซต

"ไทย" รายได้ต่อหัวไม่ขึ้น เศรษฐกิจรั้งท้าย เตือนปรับก่อนจะสายเกินแก้

"ไทย" รายได้ต่อหัวไม่ขึ้น เศรษฐกิจรั้งท้าย เตือนปรับก่อนจะสายเกินแก้
TNN ช่อง16
16 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
13

ประเทศไทยจีดีพีรั้งท้ายเพื่อนบ้าน ติดกับดักรายได้ปานกลาง รายได้ต่อหัวไม่ขึ้นฟื้นตัวช้า 


จากความหวังเสือเศรษฐกิจ วันนี้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่เศรษฐกิจโตต่ำรั้งท้ายเพื่อนบ้าน โจทย์สำคัญ คือ กับดักรายได้ปานกลาง และรายได้ต่อหัวไม่ขึ้นฟื้นตัวช้า ประเทศไทยบนความเสี่ยง เราจะทางรอดอย่างไร 


ธนาคารโลก (World Bank) ออกรายงานล่าสุดเดือนตุลาคม 2568 ระบุชัดว่าประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% ในปีนี้ ตามหลังประเทศเพื่อนบ้านเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะเวียดนามที่เติบโตถึง 6.6% ฟิลิปปินส์ 5.3% อินโดนีเซีย กัมพูชา และจีนที่อยู่ในระดับ 4.8% ขณะที่ประเด็นสำคัญ คือ รายได้ต่อหัวของคนไทยยังคงฟื้นตัวช้าและรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน


ธนาคารโลกระบุว่า แม้จีดีพีของไทยจะกลับมาเติบโตได้บ้างหลังโควิด-19 แต่ผลิตภัณฑ์ต่อหัว (output per capita) ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน และฟื้นตัวช้ากว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ประเทศอย่างเวียดนามและจีน มีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นจากระดับก่อนโควิดกว่า 30% ไทยกลับขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งที่มีโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมที่พัฒนาเก่ากว่า


ธนาคารโลกชี้ให้เราเห็นด้วยว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยวันนี้กำลังอยู่บน “กับดักของรายได้ปานกลาง” อย่างชัดเจน การเติบโตจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำ เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร หรือภาคบริการท่องเที่ยวที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมากแต่มีผลผลิตต่อคนต่ำ งานส่วนใหญ่ยังอยู่นอกระบบ ขาดความมั่นคง และไม่มีเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพที่ชัดเจน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่ควรเป็นตัวขับเคลื่อนกลับซบเซา การลงทุนใหม่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง


แม้รัฐบาลไทยพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ และการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ธนาคารโลกเตือนว่า มาตรการแบบชั่วคราวไม่สามารถทดแทนการปฏิรูปเชิงโครงสร้างได้ การพึ่งพาการกระตุ้นการบริโภคมากเกินไปอาจทำให้การเติบโตระยะยาวอ่อนแรง เพราะไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และไม่สร้างงานคุณภาพใหม่ ๆ ที่สามารถเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรได้อย่างยั่งยืน


การหลุดพ้นจากความยากจน คือ โจทย์ใหญ่ ขณะที่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การจ้างงานไม่มีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทย แต่หมายรวมทั้งภูมิภาค  ธนาคารโลก ประเมินว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะจากการเติบโตของการจ้างงานที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำ และมักเป็นงานนอกระบบ โอกาสก้าวหน้าน้อย นอกจากนี้ คนหนุ่มสาวยังคงประสบปัญหาในการหางาน 


นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานน้อยกว่าผู้ชาย โดยแม้จะมีการคาดว่าจะมีประชากร 25 ล้านคนหลุดพ้นความยากจนในปี 2568-2569 แต่สัดส่วนของประชากรที่เสี่ยงต่อการกลับไปยากจนอีกรอบกลับมีจำนวนมากกว่าชนชั้นกลางในหลายประเทศของภูมิภาคนี้


ปัญหาสำคัญ คือ รูปแบบการพัฒนาประเทศ แม้เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกโดยรวมยังเติบโตในระดับสูงกว่าภูมิภาคอื่นของโลก เนื่องจากเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยแรงงานราคาถูกและการส่งออก และปรากฎว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเจอกับแรงกดดันสำคัญ คือ การกีดกันทางการค้าและการแทนที่แรงงานด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ (automation) ซึ่งมีผลต่อการเติบโตในระยะยาว


คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวถึง “ภาวะขัดแย้งของการจ้างงาน” ในภูมิภาคนี้ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่เศรษฐกิจเติบโต แต่กลับไม่สามารถสร้างงานคุณภาพได้เพียงพอ 


อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก กล่าวเพิ่มเติมว่า เอเชียตะวันออกที่เคยขับเคลื่อนด้วยแรงงานราคาถูกและการส่งออก กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจยุคใหม่ การแทนที่แรงงานด้วยเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติทำให้ประเทศที่ไม่ลงทุนด้านการศึกษาและทักษะจะยิ่งตามหลัง เขาเน้นว่า “การพัฒนาการศึกษา การปฏิรูปภาคธุรกิจ และการลงทุนในทุนมนุษย์คือกุญแจสำคัญที่จะสร้างวัฏจักรใหม่ของโอกาสและศักยภาพ เพื่อหลุดพ้นจากการเติบโตแบบชะงักงัน”


ขณะที่สถานการณ์ของไทย ปัจจุบันนี้แรงงานส่วนใหญ่กว่า 50% ยังคงอยู่ในภาคนอกระบบ  งานส่วนใหญ่เป็นงานค่าจ้างต่ำที่ขาดหลักประกันทางสังคม ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมกลับประสบปัญหาขาดแรงงานฝีมือเฉพาะทาง และการปรับตัวไม่ทันกับเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด

"ธนาคารโลก" ชี้ทางรอด "ประเทศไทย " เตือนปรับก่อนจะสาย 


ธนาคารโลก ให้คำแนะนำให้ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเร่งการปฏิรูปด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มการแข่งขันในภาคบริการ การลดข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดของผู้ประกอบการรายใหม่ และการส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุค AI และหุ่นยนต์ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้หญิงและคนหนุ่มสาวมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้น เพื่อขยายฐานผลิตภาพของประเทศในระยะยาว


เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไทยถือว่ามีศักยภาพพื้นฐานที่ดี ทั้งด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการผลิต แต่สิ่งที่ขาดคือ “ทิศทางเชิงกลยุทธ์ระยะยาว” ที่ชัดเจน เศรษฐกิจไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยเพียง 2–3% ต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 5% และต่ำกว่าเกณฑ์ที่สามารถยกระดับประเทศสู่รายได้สูงได้ภายในช่วงสองทศวรรษข้างหน้า หากไม่เกิดการปฏิรูปอย่างจริงจัง ไทยอาจติดกับอยู่ในวงจรเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง


ในรายงานตอนหนึ่งระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะไม่ยั่งยืน หากประเทศต่าง ๆ ยังคงอาศัยมาตรการระยะสั้นมากกว่าการสร้างรากฐานทางโครงสร้าง ซึ่งสำหรับประเทศไทย หมายถึงการเปลี่ยนจากนโยบายที่เน้นกระตุ้นการใช้จ่ายระยะสั้น มาสู่นโยบายที่เพิ่มศักยภาพการผลิต การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา และการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อต่อผู้ประกอบการรายใหม่


ธนาคารโลกยังคงเชื่อว่า ไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้หากสามารถเดินหน้าการปฏิรูปเชิงโครงสร้างได้จริง ทั้งด้านแรงงาน การศึกษา และนโยบายการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับทักษะของแรงงานให้พร้อมกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล หากไทยสามารถยกระดับแรงงานจากภาคบริการผลิตภาพต่ำเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น จะสามารถเพิ่มรายได้ต่อหัวและศักยภาพการเติบโตในระยะยาวได้


รายงานของธนาคารโลกจบลงด้วยคำเตือนที่ชัดเจนว่า “หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้รวมถึงไทย จะไม่สามารถรักษาการเติบโตอย่างทั่วถึงได้” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ไทยต้องเร่งตัดสินใจครั้งใหญ่ในด้านนโยบาย เศรษฐกิจไทยไม่เพียงต้องเติบโตในตัวเลข แต่ต้องเติบโตในคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าอย่างแท้จริง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง