ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

ราคาทองคำตลาดโลกสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ หลังจากพยายามมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยราคาทองคำส pot (Gold Spot) ที่เคยทำสถิติเดิมไว้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ระดับ 3,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในที่สุดก็ถูกทำลายลงเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา โดยราคาพุ่งทะยานเหนือ 3,500 เหรียญได้อีกครั้ง และยังปรับขึ้นต่อเนื่องในวันถัดมา โดยเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 กันยายน ราคาทองคำส pot พุ่งขึ้นแตะ 3,547 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาสัญญาทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) ส่งมอบเดือนธันวาคม ปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 3,616 เหรียญต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในประเทศไทยยังคงห่างจากจุดสูงสุดเดิมที่ 54,800 บาท เนื่องจากเงินบาทในปัจจุบันแข็งค่ากว่าเมื่อเดือนเมษายน
แรงหนุนสำคัญมาจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมวันที่ 16-17 กันยายนนี้ โดยข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูงถึง 84.5% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือนกรกฎาคมจะยังสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 2 แต่สัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกทำให้ตลาดมั่นใจว่าเฟดมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยเฉพาะหลังจากที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวไว้เมื่อเดือนสิงหาคมว่า เฟดอาจต้องพิจารณาปรับนโยบาย แต่ยังไม่ตัดสินใจขั้นสุดท้าย อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดทองคำร้อนแรงคือความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าของสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 4 ว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ขัดต่อกฎหมาย แม้ศาลจะอนุญาตให้มาตรการดังกล่าวมีผลต่อไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม แต่ทรัมป์ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา และยืนยันว่าจะต่อสู้เต็มที่ โดยให้เหตุผลว่าภาษีศุลกากรคือมาตรการจำเป็นในการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ เผชิญมานาน นำไปสู่ความกังวลว่าทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
ผลจากการที่ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมากระจายความเสี่ยงไปยังโลหะมีค่าอื่นๆ ด้วย ส่งผลให้ราคาเงิน (Silver) พุ่งทะลุ 40 เหรียญต่อออนซ์ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 14 ปี เนื่องจากยังมีราคาถูกกว่าทองและดึงดูดแรงเก็งกำไร ขณะที่แพลทินัม (Platinum) ขยับขึ้นแตะ 1,421 เหรียญต่อออนซ์ ใกล้จุดสูงสุดในรอบ 11 ปี จากแรงซื้อในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ส่วนทองแดง (Copper) ก็ปรับตัวขึ้นแตะเกือบ 10,000 เหรียญต่อตัน ตามความคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากตัวเลข PMI ล่าสุดสะท้อนความอ่อนแอของภาคการผลิต
ที่น่าสนใจคือ แม้ทองคำจะพุ่งแรง แต่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับฟื้นตัวแข็งค่าขึ้น โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ขยับขึ้นกลับมายืนเหนือระดับ 98 ในช่วงกลางสัปดาห์ นักลงทุนจึงยังคงจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงานที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญว่าทิศทางนโยบายการเงินของเฟดจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลต่อราคาทองคำในระยะสั้นเพียงใด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
