ฝนถล่ม “จีน” ปักกิ่ง-เหอเป่ยอ่วม ฝนตกเท่า 1 ปีในคืนเดียว!

ฝนตกหนักต่อเนื่องในกรุงปักกิ่งและหลายพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย และประชาชนหลายพันคนต้องอพยพ ขณะที่ทางการประกาศเตือนฝนตกหนักและภัยพิบัติจากดินถล่มและน้ำท่วมในหลายจังหวัด

สถานีโทรทัศน์ CCTV รายงานเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า จังหวัดเหอเป่ยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และสูญหายอีก 2 ราย ขณะที่เขตฝูผิงในเมืองเป่าติ้งเผชิญปริมาณน้ำฝนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 145 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงเมื่อคืนที่ผ่านมา

ด้านกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีนได้ออกคำเตือนเฉพาะพื้นที่สำหรับภัยน้ำท่วมในแม่น้ำสายเล็กและขนาดกลาง รวมถึงน้ำป่าหลาก ใน 11 มณฑลและภูมิภาค ซึ่งรวมถึงกรุงปักกิ่งและจังหวัดเหอเป่ยที่อยู่ติดกัน และในเขตมิยุนของกรุงปักกิ่ง หลายหมู่บ้านได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและดินถล่ม โดยเฉพาะตำบลเฟิงเจียยวี่ซึ่งเป็นพื้นที่เสียหายรุนแรงที่สุด โดยมีรายงานว่าบางหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณการสื่อสาร ขณะที่มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่กว่า 3,000 คน ตามรายงานของสถานีวิทยุปักกิ่ง

อัตราการไหลเข้าของน้ำในอ่างเก็บน้ำมิยุนพุ่งสูงเป็นสถิติใหม่ที่ 6,550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะเดียวกัน สถานีอุตุนิยมวิทยาปักกิ่งเตือนว่า ฝนจะยังตกหนักในหลายพื้นที่ของเมือง โดยบางแห่ง รวมถึงเขตมิยุน อาจมีปริมาณน้ำฝนสะสมมากกว่า 100 มิลลิเมตรในระยะเวลา 6 ชั่วโมง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ทางการยังได้ประกาศเตือนภัยธรณีพิบัติ เช่น ดินถล่มและโคลนถล่ม หลังปริมาณฝนที่ตกลงมาในเมืองเป่าติ้งติดต่อกันเทียบเท่ากับปริมาณฝนทั้งปีเป็นครั้งที่สอง

สำหรับจีนตอนเหนือซึ่งปกติเป็นพื้นที่แห้งแล้ง กำลังเผชิญปริมาณน้ำฝนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ปักกิ่ง เผชิญกับความเสี่ยงจากอุทกภัย โดยนักวิทยาศาสตร์บางรายเชื่อว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้เชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อน

สถานีตรวจวัดในเขตซีจ้วง เมืองเป่าติ้ง รายงานว่ามีปริมาณน้ำฝนสูงถึง 540 มิลลิเมตรในเวลาเพียง 8 ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนทั้งปีของเมืองที่อยู่ที่ราว 500 มิลลิเมตร โดยฝนถล่มครั้งนี้กระทบประชาชนกว่า 46,000 คน และมีผู้ถูกอพยพออกจากพื้นที่แล้วกว่า 4,600 คน

ปรากฏการณ์สภาพอากาศรุนแรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของมรสุมเอเชียตะวันออกที่กำลังส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในจีน และสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่มีมูลค่าสูงถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมในระยะยาว.