CPTPP คืออะไร? ทำไมมีคนสนใจ หลังเกิด #NoCPTPP ว่อนกระหึ่มโซเชียลฯ
ข่าววันนี้ กลายเป็นเรื่องที่กระหึ่มโซเชียลฯ เมื่อ #NoCPTPP แฮชแท็ก ขึ้นมาจนหลายคนสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้ว CPTPP คืออะไร ? มีความสำคัญ หรือเกี่ยวข้องอะไรกับเรา มาหาคำตอบกันเลย
จากการค้นหาข้อมูล CPTPP ย่อมาจาก Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เป็นความตกลงการค้าระหว่างประเทศทั้ง 11 ประเทศ ได้แก่
- ออสเตรเลีย
- บรูไน
- แคนาดา
- ชิลี
- ญี่ปุ่น
- มาเลเซีย
- เม็กซิโก
- นิวซีแลนด์
- เปรู
- สิงคโปร์
- เวียดนาม
โดยเป็นการพัฒนามาจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งไม่มีผลใช้บังคับเนื่องจากสหรัฐถอนตัว ณ เวลาลงนาม เศรษฐกิจรวมของ 11 ประเทศคิดเป็นร้อยละ 13.4 ของจีดีพีโลก (ประมาณ 13.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้ CPTPP เป็นเขตการค้าเสรีใหญ่สุดอันดับสามของโลกโดยวัดจากจีดีพี รองจากความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือและตลาดร่วมยุโรป
หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐประกาศถอนตัวออกจาก TPP ประเทศผู้ลงนามเดิมได้ตกลงในเดือนพฤษภาคม 2560 เพื่อรื้อฟื้นความตกลงใหม่ โดยบรรลุความตกลงในเดือนมกราคม 2561 มีพิธีลงนามอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 มีนาคม 2561 ในประเทศชิลี CPTPP รับเอาข้อกำหนดของ TPP มาใช้ แต่ระงับบทบัญญัติ 22 ข้อที่สหรัฐเห็นชอบแต่ประเทศอื่นคัดค้าน ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับเมื่อหกประเทศให้สัตยาบัน คือ วันที่ 30 ธันวาคม 2561
บทว่าด้วยรัฐวิสาหกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยกำหนดให้ประเทศผู้ลงนามแบ่งปันสารสนเทศเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจระหว่างกัน มีการใส่มาตรฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาที่ละเอียดที่สุดในบรรดาความตกลงการค้าทุกฉบับ ตลอดจนคุ้มครองต่อการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญากับบริษัทที่ดำเนินการในต่างประเทศ ด้านญี่ปุ่นขยายระยะเวลาคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็น 70 ปีหลังผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต ซึ่งเป็นข้อกำหนดของความตกลงความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจอียู–ญี่ปุ่น
ความเห็นต่อการเข้าร่วมเป็นภาคีของไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พยายามผลักดันข้อตกลงดังกล่าว โดยว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 0.12 ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่า 13,300 ล้านบาท และหากไม่เข้าร่วมจะเสียโอกาสและกระทบต่อจีดีพีที่หดตัวร้อยละ 0.25 คิดเป็นมูลค่า 26,600 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ฝ่ายกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอวอช) คัดค้านโดยระบุว่า ราคาเมล็ดพันธุ์จะแพงขึ้นเพราะเกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทที่ผูกขาด และการศึกษาของมูลนิธิชีววิถีชี้ว่า เมื่อต้องซื้อทุกรอบเพาะปลูกจะทำให้ราคาแพงขึ้น 6–12 เท่า นอกจากนี้องค์การนอกภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับยายังระบุว่า ข้อตกลงฯ อาจส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ ตลอดจนการผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา
ในเอกสารของกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าความตกลงมีเงื่อนไข 30 ข้อ ซึ่งไทยปฏิบัติไม่ได้ 15 ข้อซึ่งอาจทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้า เช่น การยกเลิกภาษีนำเข้ากว่าร้อยละ 99 ของสินค้าทั้งหมด ฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การคุ้มครองการลงทุน การห้ามให้สิทธิพิเศษจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐแก่ผู้ประกอบการไทยเหนือกว่าสมาชิก การให้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) เป็นต้น
และเมื่อสังคมโซเชียลฯ กระหึ่มเรื่องดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเกิด #NoCPTPP กระทั่ง เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 64 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วานนี้ (5 พ.ค.) ยังไม่ได้มีมติเห็นชอบให้ไทยไปขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) แต่อย่างใด มีเพียงการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และรอบคอบมากที่สุด
ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ กนศ. จัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง CPTPP
อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตากันต่อว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วม CPTPP หรือไม่ แล้วจะเกิดโอกาส หรือ เความเสี่ยงอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อ