“AI 2025” ลงทุนมหาศาลใช้งานผิวเผิน

บริษัทวิจัยข้อมูลด้านธุรกิจ “การ์ตเนอร์” (Gartner) ประเมินว่า การใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกน่าจะมีมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 และจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เนื่องจากผู้ให้บริการรายใหญ่ยังคงเพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีฮาร์ดแวร์และหน่วยประมวลผลกราฟิก (graphics processing unit-GPU) ที่ปรับให้เหมาะสมกับ AI เพื่อขยายบริการให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
โดยภูมิทัศน์การลงทุนด้าน AI กำลังขยายออกไปนอกเหนือจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงบริษัทจีนและผู้ให้บริการคลาวด์ AI รายใหม่ ๆ นอกจากนี้ การลงทุนของธุรกิจร่วมลงทุน (venture capital) ในบริษัทผู้ให้บริการ AI ยังช่วยหนุนเม็ดเงินใช้จ่ายด้าน AI อีกด้วย ในปี 2569 คาดว่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกน่าจะทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการผนวก AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
ความถี่และขนาดของข้อตกลงด้าน AI ที่เกิดขึ้นระยะหลัง ๆ สะท้อนถึงกระแสบูมที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพากันมากขึ้น สำหรับการจัดหาเงินทุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนธุรกิจของกันและกัน ข้อมูลจาก “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” (FT) ระบุว่า เฉพาะบริษัท “โอเพนเอไอ” (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) เพียงแห่งเดียวได้ทำข้อตกลงกับบริษัทต่าง ๆ รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้
อย่างเมื่อเดือนกันยายน OpenAI ยืนยันจะลงทุน 3 แสนล้านดอลลาร์ใน “ออราเคิล” (Oracle) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “สตาร์เกต” (Stargate) มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ที่มีบริษัท “ซอฟต์แบงก์” ของญี่ปุ่นร่วมด้วย นอกจากนี้ OpenAI ยังทำข้อตกลง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลจาก “คอร์วีฟ” (CoreWeave) ซึ่งใช้ชิปประมวลผลกราฟิกของ Nvidia ขณะเดียวกัน OpenAI ก็ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาและติดตั้งชิปของ “บรอดคอม” (Broadcom) ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยมูลค่าข้อตกลง ในทางกลับกัน Nvidia ลงทุนใน OpenAI ราว 1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ส่วนใหญ่ก็นำไปใช้เช่าชิป GPU ของ Nvidia เอง ส่วน “ไมโครซอฟท์” (Microsoft) ลงทุนใน OpenAI ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2562
นอกเหนือจาก OpenAI ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการลงทุน บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เหล่านี้ก็ยังลงทุนไปมาระหว่างกัน ยกตัวอย่าง Nvidia ที่ลงทุน 6.3 พันล้านดอลลาร์ ใน CoreWeave เป็นการรับซื้อกำลังการประมวลผลคลาวด์ของ CoreWeave ที่ขายไม่ออก ไปจนถึงปี 2575 ด้าน Oracle ก็ทำข้อตกลงซื้อชิปจาก Nvidia มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับ OpenAI ภายใต้โครงการ Stargate
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกังวลว่า เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากอาจดันมูลค่าบริษัท AI ให้สูงเกินจริงจนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ รายงานล่าสุดของ “เบน แอนด์ คอมพานี” ประเมินว่า บรรดาบริษัท AI จะต้องมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จึงจะเพียงพอในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อความต้องการ AI ไปจนถึงปี 2573 ซึ่งยังขาดอยู่ราว 8 แสนล้านดอลลาร์ แต่อีกด้านของเหรียญมองว่าการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันให้ AI เป็นจริง
สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดอยู่ในอันดับต้น ๆ 4 แห่ง ทั้ง “เมตา แพลตฟอร์มส์” (Meta) บริษัทแม่ “เฟซบุ๊ก”, “อัลฟาเบต” (Alphabet) บริษัทแม่ “กูเกิล”, “ไมโครซอฟท์” และ “แอมะซอน” (Amazon) ประกาศแผนลงทุนด้าน AI รวมประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ และมีแนวโน้มจะเพิ่มการลงทุนในปี 2569
กรณีของ Meta ยังเผชิญข้อจำกัดที่กระทบต่อศักยภาพ เนื่องจากต้องฝึกอบรมโมเดล AI ใหม่ ๆ และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานขอผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ไปพร้อมกัน “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” CEO ระบุในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ว่า ความต้องการทรัพยากรด้านการประมวลผลเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด บริษัทจึงต้องทำให้แน่ใจว่าไม่ได้ลงทุนน้อยเกินไป เพื่อให้ติดกลุ่มผู้นำในสมรภูมิ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทก็ส่งสัญญาณจะใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน Microsoft เผชิญปัญหาการประมวลผลไม่เพียงพอรองรับความต้องการบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของลูกค้า ทำให้มีแผนเพิ่ม Data Center อีกเท่าตัวภายใน 2 ปีข้างหน้า
ด้าน Alphabet มีแผนจะเพิ่มการลงทุนจาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 9.1-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนแล้ว โดยในไตรมาสล่าสุดสามารถสร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จาก AI ส่วน Amazon เน้นเพิ่มความสามารถด้านคลาวด์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทยังไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนด้าน AI ในปี 2569 แต่บริษัทประกาศว่ารายจ่ายด้านการลงทุนทั้งหมด (capex) ในปีหน้าจะสูงกว่า 1.25 แสนล้านดอลลาร์ที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ รายจ่ายส่วนใหญ่จะมุ่งเน้น AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องสำหรับธุรกิจคลาวด์ “แอมะซอน เว็บ เซอร์วิเซส” (AWS) ขณะที่ “แอปเปิล” ยักษ์เทคโนโลยีอีกรายประกาศจะเพิ่มการลงทุนด้าน AI เช่นกัน แม้ว่ารายจ่ายโดยรวมจะน้อยกว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่น ๆ
ความแพร่หลายของ AI มีส่วนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนไปจากเดิม รายงาน “สถานะของ AI ในปี 2568” (The state of AI in 2025: Agents, innovation, and transformation) ของ “แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี” (McKinsey & Company) พบว่า การใช้งาน AI ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 88 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า องค์กรของตนมีการใช้งาน AI อย่างน้อย 1 ฟังก์ชันในการทำงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 78 ในปีที่แล้ว แต่ส่วนใหญ่หรือราวร้อยละ 62 ยังอยู่แค่ระยะทดลอง มีเพียงร้อยละ 31 ที่ขยายการใช้งานในหลากหลายแผนก
เมื่อพิจารณาแยกรายธุรกิจ พบว่า การใช้งาน AI agent ซึ่งเป็นระบบที่อิงจากแบบจำลองพื้นฐานที่สามารถทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง วางแผนและดำเนินการหลายขั้นตอนในกระบวนการทำงานทั้งหมด แพร่หลายที่สุดในกลุ่มงาน IT และการจัดการความรู้ และเมื่อจำแนกตามอุตสาหกรรม การใช้งาน AI agent เกิดขึ้นแพร่หลายสุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม และการดูแลสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ยังไม่ได้บูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการทำงาน ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เมื่อวัดในแง่ของรายได้และจำนวนพนักงาน มีแนวโน้มที่จะใช้ AI ในหลายแผนกงาน ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งจากบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ได้ริเริ่มใช้งาน AI ในหลายแผนกแล้ว เมื่อเทียบกับร้อยละ 29 ในบริษัทที่มีรายได้น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์
การใช้ AI ยังไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าการใช้ AI จะมีส่วนช่วยพัฒนานวัตกรรมขององค์กร เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน
องค์กรที่มีเป้าหมายด้าน AI ที่ชัดเจนกำลังได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมีความตั้งใจที่จะใช้ AI เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจมากกว่าองค์กรอื่น ๆ ถึง 3 เท่า องค์กรเหล่านี้มีเป้าหมายมากกว่าแค่การลดต้นทุน ส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของ AI เพิ่มขึ้น โดยกว่า 1 ใน 3 จัดสรรงบประมาณด้าน AI มากกว่าร้อยละ 20 รวมทั้งมีแนวโน้มกำหนดเป้าหมายนวัตกรรมและการเติบโตทางธุรกิจจาก AI ไว้มากกว่าบริษัทอื่น ขณะเดียวกันก็ออกแบบระบบการทำงานใหม่ ไม่ใช่แค่เพิ่มความรวดเร็ว
สำหรับผลกระทบต่อแรงงาน ร้อยละ 32 คาดว่าจะลดพนักงานลง ส่วนร้อยละ 43 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และร้อยละ 13 มีแนวโน้มจ้างงานเพิ่ม อย่างไรก็ราม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่า องค์กรของพวกเขามีการว่าจ้างตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ถึงแม้ความต้องการบุคลากรด้านนี้จะแตกต่างกันไปตามขนาดของบริษัท แต่วิศวกรซอฟต์แวร์และวิศวกรข้อมูลเป็นตำแหน่งที่องค์กรต้องการมากที่สุด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
