รีเซต

Gistda เผยข้อมูลพื้นที่ภาคกลางน้ำท่วมสูงสุด 7-13 พ.ย. 5 จังหวัด

Gistda เผยข้อมูลพื้นที่ภาคกลางน้ำท่วมสูงสุด 7-13 พ.ย. 5 จังหวัด
TNN ช่อง16
13 พฤศจิกายน 2568 ( 12:45 )

จากการสำรวจ พบว่าจังหวัดที่มี พื้นที่น้ำท่วมสูงสุด ได้แก่

1. พระนครศรีอยุธยา 587,346 ไร่

2. นครสวรรค์ 402,699 ไร่

3. สุพรรณบุรี 390,621 ไร่

4. สุโขทัย 337,283 ไร่

5. พิจิตร 270,938 ไร่

รวมพื้นที่น้ำท่วมทั้งหมดอยู่ที่ 3,083,720 ไร่ ส่งผลกระทบต่อ 89,434 หลังคาเรือน และประชาชนกว่า 935,256 คน แผนที่แสดงให้เห็นพื้นที่น้ำท่วมกระจายตัวในหลายจังหวัด โดยเฉพาะตามลุ่มน้ำและพื้นที่ราบลุ่มต่ำ ทั้งนี้ น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ในช่วงต้นเดือนพ.ยง ทำให้หลายพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมซ้ำซ้อน โดยเฉพาะจังหวัดในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

จากภาพจะเห็นว่าปีนี้ จ.พระนครศรีอยุธยา เผชิญน้ำท่วมหนัก เพราะมวลน้ำจำนวนมากองอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากแผนการระบายน้ำแนวดิ่ง ซึ่งต้องให้เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำตรงลงสู่อ่าวไทย น้ำจึงต้องไหลผ่านพื้นที่ปริมณฑลและกรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถระบายน้ำเข้าสู่พื้นที่เหล่านี้มากได้ เพื่อป้องกันความเสียหาย ส่งผลให้น้ำถูกกักไว้ในอยุธยาเป็นเวลานาน

ล่าสุด ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จากสถานการณ์น้ำในขณะนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือจะลดลง ขณะนี้เขื่อนภูมิพลยังคงระบายน้ำอยู่ที่ประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนเขื่อนกิ่วลมระบายที่ 6 ล้านลบ.ม./ วัน ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลมายังเขื่อนเจ้าพระยามีมาก แม้ได้แบ่งน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งเหนือเขื่อนอย่างเต็มศักยภาพแล้ว ยังจำเป็นต้องระบายท้ายเขื่อนในอัตรา 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ประชาชนจังหวัดท้ายเขื่อนได้รับผลกระทบกว้างขึ้น 

แต่ยืนยันว่า การระบายในอัตราดังกล่าว เป็นอัตราสูงสุดซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรับลดลงตามปริมาณน้ำเหนือที่เริ่มลดลง รวมทั้งในขณะนี้ภาวะ “น้ำทะเลหนุน” คลี่คลายลงแล้ว ได้สั่งการให้กรมชลประทาน จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำเร่งระบายน้ำตอนปลายลุ่มเจ้าพระยาออกสู่อ่าวไทยที่จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดฉะเชิงเทรา ตลอดจนจะระบายน้ำเข้าคลองบางสายของกทม. ในอัตราเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวต่อไปว่า เมื่อเข้าสู่เดือนธันวาคม การระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาจะลดลงเหลือประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และปรับเข้าสู่ระดับปกติราว 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในเดือนมกราคมต่อไป

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  กล่าวว่า สถานการณ์น้ำหนุนในช่วงเดือนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เนื่องจากได้ผ่านวันที่มีน้ำหนุนสูงสุดคือ 8 พ.ย.68 ไปแล้ว ซึ่งจะมีน้ำหนุนขึ้นสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 20 ธ.ค.68 แต่ไม่สูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือที่น่าจะบรรเทาลง ประกอบกับถ้าไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาสถานการณ์ก็จะคลี่คลายขึ้น รวมถึงที่ผ่านมา กทม.มีการปรับปรุงโครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีปัญหาในปี 54 ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จึงทำให้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงไม่น่าเกิดขึ้นแบบปี 54 แต่ที่น่าเป็นห่วงคือชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ 11 ชุมชน ประมาณ 300 หลังคาเรือน โดย กทม.เข้าไปดำเนินการสร้างสะพานไม้และแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แล้ว 

ขณะเดียวกัน กรมชลประทานรายงานว่า ปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งอยู่ในระดับที่แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถรับได้อย่างปลอดภัย บริเวณจุดวัดสามโคก จังหวัดปทุมธานี พบว่ามีอัตราการไหลเฉลี่ย 2,400–2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากศักยภาพการรับน้ำสูงสุดที่ 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำยังต่ำกว่าความจุสูงสุดมาก และไม่มีแนวโน้มที่น้ำเหนือจะท่วมเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ  

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง