รีเซต

ธุรกิจกัญชาไทย จะไปต่อหรือพอแค่นี้?

ธุรกิจกัญชาไทย จะไปต่อหรือพอแค่นี้?
TNN ช่อง16
23 พฤษภาคม 2567 ( 17:05 )
11
ธุรกิจกัญชาไทย จะไปต่อหรือพอแค่นี้?

กัญชาไทยกำลังจะกลับสู่สถานะยาเสพติดอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลอย่างไร ใครจะปลูกและขายได้บ้าง โดยเฉพาะ "ช่อดอก" ที่จะเป็นยาเสพติดประเภท 5 ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร มาหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้


กฎหมายกัญชาไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง: สาระสำคัญและผลกระทบที่ควรจับตา


ประเทศไทยกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาอีกครั้ง หลังจากที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศนโยบายใหม่ที่จะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พร้อมกับการเตรียมออกกฎหมายควบคุมการใช้กัญชาฉบับใหม่ภายในสิ้นปีนี้

ในการดำเนินการครั้งนี้ จะมีการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่สำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่


ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่จะกำหนดให้ "พืชกัญชา" เป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด แต่จะมีการยกเว้นบางส่วนของพืชกัญชา เช่น ใบ กิ่งก้าน ราก ลำต้น และเมล็ด ไม่ให้ถือเป็นยาเสพติด


กฎกระทรวงที่จะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตให้ปลูก ครอบครอง นำเข้า ส่งออก หรือใช้ประโยชน์จากกัญชา ภายใต้การควบคุมตามวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย


การเปลี่ยนแปลงกฎหมายในครั้งนี้ ได้สร้างความสับสนและข้อกังวลให้กับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกัญชา ทั้งในแง่ของการปลูก การครอบครอง การแปรรูป และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชา เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนในรายละเอียดของข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่จะมีผลบังคับใช้


เจตนารมย์ของกฎหมาย มุ่งประโยชน์ทางการแพทย์ 


ภายใต้กฎหมายใหม่ กัญชาจะกลับมาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 อีกครั้ง โดยมีการควบคุมและจำกัดการอนุญาตให้ปลูก ครอบครอง และจำหน่ายกัญชา เฉพาะเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาโรค การศึกษาวิจัย หรือประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้เพื่อสันทนาการ


ใครสามารถปลูกและขายกัญชาได้


ภายใต้ระบบอนุญาตใหม่ที่มุ่งเน้นไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินควร การปลูกและจำหน่ายกัญชาจะสามารถทำได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์หรือการวิจัยตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การปลูกและขายให้แก่โรงพยาบาลหรือสถาบันวิจัย ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ส่วนการขายเพื่อการบันเทิงหรือสันทนาการนั้น มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ได้รับอนุญาต


ผลกระทบต่อธุรกิจและแนวทางการปรับตัว


กฎหมายใหม่นี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมกัญชา โดยเฉพาะผู้ที่ทำธุรกิจปลูกและขาย ‘ช่อดอกกัญชา’ ซึ่งอาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายหากไม่ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ผู้ประกอบการจึงต้องศึกษากฎหมายใหม่อย่างลึกซึ้ง และหาแนวทางปรับรูปแบบธุรกิจ เช่น ปรับเปลี่ยนไปปลูกและจำหน่ายให้เฉพาะโรงพยาบาลและสถาบันวิจัย หรือหันไปให้ความสำคัญกับการแปรรูปส่วนอื่นๆ ของกัญชานอกเหนือจาก ‘ช่อดอก’


การใช้ประโยชน์จากส่วนอื่นๆ ของกัญชา


ภายใต้กฎหมายใหม่ การใช้ประโยชน์จากส่วนอื่นๆ ของกัญชา เช่น ใบ ก้าน ลำต้น และราก ที่ไม่ใช่ ‘ช่อดอก’ ยังคงสามารถทำได้โดยไม่ถือเป็นยาเสพติด ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการสกัดสารสำคัญเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น การผลิตยา อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ภายใต้การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสม


บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน


แม้รายละเอียดของบทลงโทษตามกฎหมายกัญชาฉบับใหม่ ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่หากย้อนดูกฎหมายยาเสพติดฉบับเดิม จะเห็นว่ามีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ฝ่าฝืน เช่น การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 2 แสนถึง 1.5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยโทษจะเพิ่มขึ้นหากเป็นการกระทำในปริมาณมาก หรือเป็นการจำหน่ายให้แก่บุคคลที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เยาวชนหรือหญิงมีครรภ์


ดังนั้น เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายกัญชาฉบับใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาควรศึกษารายละเอียดของบทลงโทษอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการถูกดำเนินคดีและได้รับโทษที่รุนแรง ทั้งนี้ แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด แต่จากแนวทางในอดีต บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายกัญชามีแนวโน้มที่จะยังคงเข้มงวดและรุนแรงเช่นเดียวกับที่เคยบังคับใช้มาก่อนหน้านี้


การเปลี่ยนแปลงกฎหมายกัญชาในประเทศไทยกำลังจะนำไปสู่การควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น โดยจะอนุญาตให้มีการปลูก ครอบครอง และจำหน่ายเฉพาะเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด ศึกษากฎหมายใหม่อย่างลึกซึ้ง และเตรียมปรับตัวให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป


อ้างอิง

กระทรวงสาธาธารณสุข 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง