รีเซต

หมดเรื่องให้กังวล เตรียมจบปีอย่างราบเรียบ

หมดเรื่องให้กังวล เตรียมจบปีอย่างราบเรียบ
ทันหุ้น
10 ธันวาคม 2568 ( 13:28 )
8

สิ้นสุด Government Shutdown แต่ตลาดกลับปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องของ Valuation (PE) ที่ตึงตัว แม้จะอยู่ในระดับที่ “แพง” มาระยะหนึ่งแล้ว และมีหลายๆ คน ออกมาเตือนในประเด็นนี้  อย่างไรก็ตามสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้นได้รับ Sentiment เชิงบวกให้ Rebound กลับขึ้นมาอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือนจากความมั่นใจว่า Fed จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมรอบ ธ.ค.  ในส่วนของประเด็น Geopolitical Risk มีเรื่องความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่น-จีน จากการแสดงความเห็นเรื่องไต้หวัน ในขณะที่การเจรจาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มที่จะบรรลุการเจรจาได้

ในเดือน พ.ย. ความคาดหวังของตลาดต่อการลดดอกเบี้ยค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไวตลอดเดือน พ.ย. โดยในช่วงแรก Fed Member กลุ่มแรกที่ออกมาแสดงความเห็นเป็นกลุ่มที่ค่อนข้าง Hawkish ประกอบกับสถานการณ์ที่ยังไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเนื่องจาก Government Shutdown ตลาดจึงให้น้ำหนักกับท่าทีของ Fed Member ในช่วงแต่ละสัปดาห์

ต่อมามีการเผยแพร่ Fed Minute ของการประชุมรอบก่อน ซึ่งสะท้อนความกังวลของ Fed ที่มีต่อเงินเฟ้อที่อาจนำไปสู่ Stagflation จึงยิ่งกังวลว่าอาจไม่มีการลดดอกเบี้ยลงในช่วงเดือน ธ.ค. ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของเดือน ตลาดจะเริ่มกลับมามีหวังอีกครั้งจากท่าทีของ Fed Member อีกกลุ่มที่มีท่าที Dovish และจากปธน.ทรัมป์ที่จะประกาศชื่อ ประธาน Fed คนต่อไปในช่วงปลายปี 2026 ซึ่งตลาดคาดว่าจะเป็น Kevin Hassett ซึ่งมีท่าทีที่ Dovish เช่นกัน  ภาพของสินทรัพย์เสี่ยงจึงปรับตัวขึ้นในช่วงปลายเดือนจากความหวังลดดอกเบี้ยที่กลับมาอีกครั้ง

อีกทั้ง เริ่มมีความกังวลมากขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกี่ยวกับ Valuation ของกลุ่ม Tech ที่อาจแพงเกินไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็เริ่มมีบุคคลสำคัญหลายๆ คนออกมาเตือนในประเด็นนี้ แต่ราคาหุ้นของหลายๆ บริษัทฯ ก็ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหลายๆ บริษัทฯ มีผลประกอบการที่สูงขึ้นจริงในปี 2025 และหลายๆ บริษัทฯ ยังคงเพิ่มการลงทุนในด้านการพัฒนา Tech/AI ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ทำให้แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นมามากแต่ก็ไม่ได้แพงเกินไปจากปัจจัยพื้นฐานทั้งในแง่ของผลประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐาน เราจึงไม่ได้กังวลในประเด็นฟองสบู่กลุ่ม Tech เท่าไหร่ แต่อาจจะจับตามองเป็นรายบริษัทฯ โดยเฉพาะบริษัทฯ ขนาดเล็กที่อาจมีมูลค่าแพงเกินจริง

นอกจากนี้ การแสดงท่าทีต่อไต้หวัน ของนายกฯ ญี่ปุ่น ทำให้เกิดความไม่พอใจในฝั่งจีน และเริ่มมีการตอบโต้ทั้งผ่านสื่อ และการขอความร่วมมือจากภาครัฐของจีนให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น ทั้งในเรื่องการศึกษาต่อต่างประเทศ การท่องเที่ยว และซื้อสินค้าญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันส่งผลกระทบต่อฝั่งญี่ปุ่นค่อนข้างมากในส่วนของการส่งออกสินค้าไปยังจีน ที่คิดเป็นสัดส่วนค่อนข้างมาก และในเรื่องของการท่องเที่ยวก็เช่นกันที่มีการยกเลิกเที่ยวบินไปญี่ปุ่นในช่วงปลายปีไปกว่าครึ่งของเที่ยวบินทั้งหมดแล้ว

ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของนายกฯ ญี่ปุ่น แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมี ปธน.ทรัมป์ เข้ามาเป็นตัวกลาง และไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนนายกฯ ญี่ปุ่นในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะมีกำหนดเยือนจีนในช่วงปีหน้า หากนายกฯ ญี่ปุ่นยังไม่มีการถอดคำพูดดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยว และการส่งออก

ในส่วนของตราสารหนี้ไทย Yield ของพันธบัตรฯ ไทย ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือน พ.ย. จากแรงขายของนักลงทุนและสถาบันภายในประเทศ ทั้งแรงขายทำกำไรในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่ดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี กับแรงขายล็อคกำไรในช่วงสิ้นปี จากแนวโน้มดอกเบี้ยของทั้ง Fed และ กนง. ที่ตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อในช่วงสิ้นปี (ธ.ค.) 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมุมมองดอกเบี้ยของไทยเริ่มเปลี่ยนไป หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอกว่าที่คาด และในส่วนของดอกเบี้ย Fed Fund Rate ตลาดกลับมามั่นใจอีกครั้งว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงในการประชุมที่จะถึง ทำให้แรงขายพันธบัตรฯ ไทยเริ่มชะลอลง เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติกลับมาซื้อพันธบัตรฯ ไทยมากขึ้น  Yield เริ่มปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของเดือน

ตราสารหนี้ต่างประเทศ Yield ฝั่งสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในขณะที่ Yield ของประเทศอื่นๆ เร่งตัวขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ย ในช่วงสิ้นปี และแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นในช่วงปีหน้า โดยฝั่งสหรัฐฯ แม้ในช่วงต้นเดือน ตลาดจะยังไม่มั่นใจกับการประชุม FOMC ในช่วงเดือน ธ.ค. จากท่าทีของ Fed Member กลุ่มแรกที่ออกมาแสดงความเห็น และรายงาน Fed Minute ที่ยังคงสะท้อนว่า Fed ยังคงกังวลเงินเฟ้อ และภาวะ Stagflation 

 อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของเดือนเป็นการแสดงมุมมองของ Fed Member กลุ่มที่ค่อนข้าง Dovish กับการที่ปธน.ทรัมป์ จะประกาศชื่อ ว่าที่ประธาน Fed ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน Jerome Powelll ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งตลาดคาดว่าจะเป็นคนที่ Dovish อย่างที่ ปธน.ทรัมป์ ต้องการ Yield ทางสหรัฐฯ จึงปรับตัวลดลงตามโอกาสการลดดอกเบี้ยในช่วงเดือน ธ.ค. ที่เปลี่ยนไป 

ส่วนญี่ปุ่น Yield พันธบัตรฯ เร่งตัวขึ้นจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการคลังที่อาจต้องเพิ่มขึ้นหลังจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดีนัก ในขณะที่เงินเฟ้อยังคงสูง และผลการประมูลพันธบัตรฯ ยังคงไม่ดี ทำให้ Yield ฝั่งญี่ปุ่นยังคงน่ากังวล และต้องจับตามองทิศทางดอกเบี้ยของ BoJ ในช่วงหลังจากนี้เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งส่งผลต่อภาระหนี้สาธารณะของญี่ปุ่น

ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเดือน พ.ย. ในช่วงต้นเดือนสะดุดตัวลงไปบ้างจากประเด็น Valuation ของกลุ่ม Tech หลังจากที่หมดช่วง Earning Season และช่วงประกาศ Guidance ของกลุ่ม Tech  ตลาดที่หมดประเด็นบวกจากกลุ่มนี้ก็เริ่มกังวลว่า Valuation ณ ระดับปัจจุบันเริ่มแพงเกินไป และเริ่มเป็น Bubble ในตลาดหุ้นเหมือนตอนช่วง Dot Com แต่สุดท้ายก็ปรับตัวขึ้นต่อในช่วงปลายเดือนจากแนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed ที่ตลาดกลับมามั่นใจการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยสุทธิตลอดเดือน พ.ย. MSCI ACWI ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน ส่วนกลุ่ม EM และ เอเชีย โดย MSCI EM และ MSCI Asia ex Japan ปรับตัวลดลง -2.4% และ -2.8% MoM ตามลำดับ (ที่มา Bloomberg: ข้อมูล ณ วันที่ 28 พ.ย. 68)

ส่วนกลุ่มตลาด DM จากการที่ทางสหรัฐฯ เผชิญความกังวลเรื่อง Valuation ของกลุ่ม Tech และความเสี่ยงที่ฟองสบู่อาจแตก กับความหวังลดดอกเบี้ยในช่วงเดือน ธ.ค. ที่ค่อนข้างเลือนลางในช่วงครึ่งแรกของเดือน จึงเริ่มมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาบ้างก่อนการประกาศผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งสุดท้ายผลประกอบการก็ยังคงออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และลดความกังวลในเรื่อง Valuation ลงไปบ้าง ส่วนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นในช่วงปลายเดือน ทำให้สินทรัพย์เสี่ยง Rebound กลับมาได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือน โดยตลาดหุ้นสหรัฐ S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% MoM ในขณะที่กลุ่ม Tech อย่าง Nasdaq 100 ปรับตัวลดลง -1.4% MoM 

ในส่วนของยุโรปยังไม่มีประเด็นเพิ่มเติม หลังจากที่ ECB ลดดอกเบี้ยลงมามากแล้ว และเงินเฟ้อก็ยังขยายตัวอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ECB จึงไม่ได้มองว่าจะมีแรงผลักจากการลดดอกเบี้ยลงอีก ในส่วนของประเด็นอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่มีความไม่แน่นอนด้านการเมืองในฝรั่งเศสประเด็นนี้ก็เริ่มจางหายไปในช่วงเดือน พ.ย. ส่วนตลาดหุ้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ แต่ก็ยังคงปรับตัวได้ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯ ในช่วงที่ฝั่งสหรัฐฯ มีความเสี่ยง โดยตลาดหุ้นยุโรป Stoxx50 และ Stoxx600 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% MoM และ 2.6% MoM ตามลำดับ

สุดท้ายตลาดหุ้นญี่ปุ่น หลังจากที่ปรับตัวขึ้นแรงหลังได้นายกฯ ท่านใหม่ ก็เริ่มชะลอลงบ้างในช่วงเดือน พ.ย. ทั้งจากเศรษฐกิจที่รายงานตัวเองออกมาน่ากังวล และประเด็นการเมืองระหว่างประเทศที่สร้างความไม่พอใจให้กับฝั่งจีนในประเด็นไต้หวัน จนเริ่มมีผลกระทบต่อหลายๆ ธุรกิจของญี่ปุ่นทั้งด้านการท่องเที่ยว และการส่งออก ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei 225 ปรับตัวลดลง -4.1% MoM  (ที่มา Bloomberg: ข้อมูล ณ วันที่ 28 พ.ย. 68)

สำหรับกลุ่มตลาด EM ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากความกังวลในเรื่อง Valuation กลุ่ม Tech ทำให้ตลาดหุ้นหลายๆ ประเทศฝั่งเอเชียที่ปรับตัวขึ้นดีในช่วงที่ผ่านมาจากประเด็น Tech/AI อย่างเช่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เริ่มชะลอลงกว่าช่วงเดือน ต.ค. ในส่วนของจีนตลาดปรับตัวลดลงในช่วงเดือน พ.ย. จากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงไม่เห็นการฟื้นตัวในหลายๆ หมวด และเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าที่ระดับ 5% จึงมองว่าน่าจะมีนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐออกมาบ้าง ก็ยังไม่เห็นประกาศเพิ่มเติมแม้จะใกล้จบปี 2025 แล้วก็ตาม โดยตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา CSI300 และ Hang Seng ปรับตัวลดลง -2.4% MoM และลดลง -0.1% MoM ตามลำดับ

สุดท้ายในส่วนของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเช่นกันจากหุ้นกลุ่ม Tech ที่รับ Sentiment เชิงลบจากกลุ่ม Tech ต่างประเทศ แต่ในขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศ Rebound กลับมา ตลาดหุ้นไทยกลับเผชิญปัจจัยฉุดรั้งหลายๆ ปัจจัยทั้งประเด็นการเมืองที่มีความไม่แน่นอนว่าจะมีการยุบสภาในช่วงเดือน ธ.ค. หรือไม่ อีกทั้งประเด็นน้ำท่วมในภาคใต้ รวมถึงประเด็นทางเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแออยู่ โดย SET ปรับตัวลดลง -3.8% MoM (ที่มา Bloomberg: ข้อมูล ณ วันที่ 28 พ.ย. 68)

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงปรับตัวขึ้นจาก Sentiment เชิงบวกของการลดดอกเบี้ย แม้จะเริ่มกังวลความเสี่ยงประเด็น Valuation (PE) ที่มากขึ้น ซึ่งในช่วงเดือน ธ.ค. เรามองว่าตลาดจะเริ่มมีปริมาณการซื้อ-ขาย ที่เบาบางลงในช่วงท้ายปี โดยอาจมีการ Take Profit ในหลายๆ สินทรัพย์ เพื่อถือเงินสดลดความเสี่ยงในช่วงปลายปี เราจึงมีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังขึ้นในช่วงส่งท้ายปี

สำหรับในส่วนของตราสารหนี้ในประเทศหลังจากที่ Yield ปรับตัวขึ้นจากแรงขาย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานเรื่องดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ และเริ่มเห็นแรงขายที่ชะลอลงแล้ว เรามองว่า Yield ที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเรายังคงมีมุมมองที่ระดับ “Neutral” สำหรับตราสารหนี้ไทย โดยสามารถทยอยซื้อเพิ่มได้ที่ระดับนี้ และอาจเน้นในกลุ่มที่มี Duration ระยะยาว เนื่องจากเรายังคงมีมุมมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังอยู่ในทิศทางขาลง และมองว่าหลังจากที่ในระยะกลาง (6-12 เดือน) ยังมีแนวโน้มที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง (รวม 50 bps) ซึ่งยังเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนในตราสารหนี้ Duration ยาวเพื่อรอการลดดอกเบี้ยในช่วงหลังจากนี้ 

ในส่วนของตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงสัดส่วนเท่าเดิม โดยเน้นที่พันธบัตรฯ ของสหรัฐฯ ที่ Fed ยังคงมีช่องสำหรับการลดดอกเบี้ยได้เยอะกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ที่ลดดอกเบี้ยไปมากแล้วในช่วงปี 2025 โดยมองว่า Fed จะมีความ Dovish มากขึ้นจากทิศทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะอ่อนแอลง

กับแนวโน้มของ Fed Member ในช่วงปีหน้าที่จะมีการเปลี่ยนคณะกรรมการบางท่านที่หมดวาระ รวมถึงประธาน Fed ที่จะหมดวาระในช่วงกลางปีหน้า ซึ่ง Fed Member ท่านใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในช่วงปีหน้านั้นค่อนข้างมีท่าทีที่ Dovish จึงมองว่าทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ยังคงเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาลง จึงยังคงมีมุมมอง “Slightly Positive” สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ

สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงปลายปี เรามองว่าจะเริ่มมีการซื้อขายที่น้อยลง ตลาดอาจแกว่งตัวเพียง Sideway ในช่วงที่เหลือของปี โดยปัจจัยที่ตลาดให้ความสำคัญในช่วงเดือน ธ.ค. เหลือเพียงประเด็นการประชุม FOMC ซึ่งตลาดค่อนข้างมั่นใจว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง ดังนั้นหากในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ในขณะที่ Fed อยู่ในช่วง Silence Period (ไม่สามารถออกมาแสดงท่าทีใดๆ ได้ ) หากมีตัวเลขเศรษฐกิจออกมาขัดกับทิศทางการลดดอกเบี้ย อาจทำให้ตลาดหุ้นย่อตัวลงได้บ้างในช่วงต้นเดือน

ในส่วนของปลายเดือนเรามองว่าหลังจากที่สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นจากการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้ม Dot Plot แล้วมีโอกาสที่จะมีแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงสิ้นปีก่อนจะกลับมาลงทุนใหม่ในช่วงปีหน้า

ในภาพรวมๆ จึงมองว่าตลาดอาจแกว่งตัวบ้างแต่สุทธิในช่วงเดือน ธ.ค. คาดว่าจะแกว่งตัว Sideway  ในภาพของตลาดหุ้นต่างประเทศเราจึงมีมุมมองเพียง “Neutral” ในช่วงเดือน ธ.ค. 

ส่วนประเด็นที่อาจต้องให้ความสำคัญมากขึ้นในช่วงหลังจากถึงต้นปีหน้า คือเรื่อง Valuation ของกลุ่ม Tech ซึ่งขับเคลื่อนตลาดรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดช่วงปี 2025 ที่ตลาดอาจเริ่มมีความกังวลมากขึ้น  โดยเรามีมุมมองว่าฟองสบู่ (Bubble) ในกลุ่ม Tech อาจไม่ได้น่ากังวลมากนัก และอาจไม่ได้จบลงเหมือนกับ Dot Com เนื่องจากเราจะเห็นว่า Valuation ของกลุ่ม Tech ในปัจจุบันหลายบริษัทฯ นั้นมี Earning Growth ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นความ “แพง” แบบมีปัจจัยรองรับ รวมถึงการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ที่ช่วยทำให้ Valuation ของหลายๆ บริษัทฯ นั้นมีปัจจัยพื้นฐานที่จับต้องได้รองรับ

อย่างไรก็ตามอาจมีความกังวลในบริษัทฯ ขนาดเล็กหลายๆ แห่งที่ Valuation ปรับตัวขึ้นมามากจาก Sentiment ของบริษัทฯ ใหญ่ แต่ไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ จึงมีแนวโน้มที่ราคาอาจปรับฐานลงมาเพื่อให้มีความสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานจริงมากขึ้น และประเด็นเรื่องการลงทุนใน AI หลังจากที่ในช่วงปี 2025 เราจะเห็นภาพการประกาศลงทุนเพิ่ม ร่วมมือกันระหว่างบริษัทฯ และเพิ่มรายจ่ายด้าน AI ของหลายๆ บริษัทฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะชะลอลงในช่วงปีหน้า และมีแนวโน้มที่ผลตอบรับจากการลงทุนเพิ่มใน AI อาจไม่ได้เร็วพอที่จะสะท้อนผ่าน Earning ปีหน้าซึ่งอาจสร้าง Negative Sentiment ต่อตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเรายังคงมุมมองเพียง “Neutral” ปัจจัยสำคัญที่เราให้น้ำหนักมากที่สุดในช่วงหลังจากนี้เป็นเรื่องประเด็นการเมือง ไทม์ไลน์การยุบสภายังคงไม่แน่นอน ซึ่งตลาดค่อนข้างอ่อนไหวต่อปัจจัยความไม่แน่นอนเหล่านี้ รวมถึงในส่วนของต่างชาติอาจชะลอการลงทุนออกไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการเมือง  เราจึงมองตลาดหุ้นไทยอาจแกว่งตัวเพียง Sideway ในช่วงสิ้นปีนี้ และรอความชัดเจนการเมืองกับแนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่คาดว่าจะทราบในช่วงเดือน ธ.ค.

คอลัมน์: INVESTMENT FOCUS by KTAM

โดย: ดร. สมชัย อมรธรรม

วัชรพัฐ มาแสง

บลจ. กรุงไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง