TACC โค้งท้ายสุดพีค โบรกชูเป้าใหม่ 6.7 บ.

#TACC #ทันหุ้น – TACC ลุ้นโค้งท้ายพีค ผลงานจ่อทุบสถิติ พร้อมฉายภาพใหญ่ปี 2569 ยังโตต่อ จับตา 7-Eleven เดินหน้าขยายสาขาไม่หยุด ขณะที่ “กาแฟพันธุ์ไทย” เป็นตัวเร่งรอบใหม่ คาดปันผล 0.51 บาท ยิลด์สูง 10% โบรกแนะ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมใหม่ 6.7 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC ว่า ปี 2569 มีโอกาสเห็นธุรกิจใหม่ ขณะที่แนวโน้มในช่วงไตรมาส 4/2568 ผู้บริหารยังคงมองว่าไตรมาสดังกล่าวจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งทำให้กำไรสุทธิมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกมาก รวมถึงอากาศที่เย็นในช่วงเดือนธันวาคม อาจกดดันยอดขายได้ แม้จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นก็ตาม
ธุรกิจโตต่อ
สำหรับปี 2569 ในแง่ธุรกิจที่ขายให้กับ 7-Eleven ยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ในส่วนของ กาแฟพันธุ์ไทย คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตได้มากขึ้น เนื่องจากมีแผนขยายสาขามากกว่า 7-Eleven ประเด็นที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือการเพิ่มสินค้าใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับกลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งผู้บริหารระบุว่าเพื่อขยายฐานรายได้ให้กว้างขึ้น และลดการพึ่งพิง 7-Eleven ลง
ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ TACC เช่นเดิม จากการเติบโตที่ต่อเนื่องทั้งช่องทาง 7-Eleven และกาแฟพันธุ์ไทย โดยได้ปรับประมาณการกำไรปี 2568-2569 เพิ่มขึ้นจากเดิม หลังผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2568 ออกมาดีกว่าคาด โดยปรับขึ้น 11% และ 9% ตามลำดับ เป็น 330 ล้านบาท และ 341 ล้านบาท
สำหรับไตรมาส 3/2568 TACC กำไรสุทธิ 90 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง จากรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการขยายสาขา 7-Eleven และร้านกาแฟพันธุ์ไทย ส่วน รายได้ 619 ล้านบาท ได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดสาขาใหม่ของ CPALL อีก 173 สาขา ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงผลดีจากความนิยมบริโภคชาเขียวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากการเปิดสาขา กาแฟพันธุ์ไทย เพิ่มขึ้นถึง 185 สาขา
และมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) 32% ทรงตัวจากไตรมาส 2/2568 และลดลงเล็กน้อยจาก 33% ในไตรมาส 3/2567 จากต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ เมล็ดกาแฟ ส่วน ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) 87 ล้านบาท ใกล้เคียงทั้งช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี แม้รายได้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ กำไรสุทธิ 242 ล้านบาท (+27%)
ราคาใหม่ 6.7 บ.
ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าทั้งปีจะจ่ายเงินปันผล 0.51 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนกว่า 10% ดังนั้นจากปัจจัยบวกข้างต้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับมูลค่าเหมาะสมใหม่เป็น 6.7 บาท (อิง 12x PER26E)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
