รีเซต

วิ่งรถ บขส.กว่า 40 ปี ไปต่อไม่ไหว โควิดระบาด คนเดินทางน้อย ปิดกิจการ หันมาขายขนมของแพงอีก

วิ่งรถ บขส.กว่า 40 ปี ไปต่อไม่ไหว โควิดระบาด คนเดินทางน้อย ปิดกิจการ หันมาขายขนมของแพงอีก
มติชน
10 พฤษภาคม 2565 ( 13:23 )
107

ผู้ประกอบการเดินรถโดยสาร บขส.โคราช ตัดสินใจขายรถบัสทิ้ง ปิดกิจการถาวร หลังประสบกับปัญหาลูกค้าน้อย และค่าน้ำมันดีเซลแพงขึ้นต่อเนื่อง

 

จากกรณีที่ นางสุจินดา เชิดชัย หรือ เจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส. เจ้าของอู่เชิดชัย และบริษัท เดินรถเชิดชัยทัวร์ ออกมาเปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจจะศขายกิจการของบริษัท เดินรถเชิดชัยทัวร์ ที่ดำเนินการการมานานกว่า 65 ปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ทำให้มีผู้โดยสารลดน้อยลง ประกอบกับปัญหาต่างๆ อาทิ การเกิดขึ้นของสายการบินโลว์คอสต์ และน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ อีกทั้งลูกๆ ทั้ง 5 คน ประกอบทำธุรกิจอื่น ไม่มีใครอยากสานต่อธุรกิจเดินรถ

 

ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้นของ นายมานิต อัครวงศ์วัฒนา อายุ 69 ปี ใน ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่ประกอบกิจการรถโดยสาร บขส.มานานกว่า 40 ปี และได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีผู้โดยสารมาใช้บริการน้อยลง ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลแพง ค่าครองชีพสูงขึ้นสวนทางรายได้ ทนแบกรับภาระไม่ไหว จนต้องตัดสินใจขายรถทัวร์ทิ้งทั้งหมด

 

นายมานิตเล่าว่า เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วได้เริ่มประกอบธุรกิจเดินรถโดยสาร บขส. ลงทุนซื้อรถบัสแบบพัดลมมา 1 คัน วิ่งระหวางนครราชสีมา-สุรินทร์ ซึ่งพี่น้องรวมทั้งตนเอง 8 คน ก็ทำธุรกิจเดินรถโดยสาร บขส.เช่นกัน ต่อมากิจการเริ่มไปได้ดีจึงสะสมเงินซื้อรถเพิ่ม ในที่สุดมีรถบัสถึง 5 คัน พร้อมกับจ้างลูกน้องช่วยขับ ต่อมาก็ได้มีการปรับปรุงรถให้เป็นรถแอร์เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ช่วงแรกก็รายได้ดี มีเงินจ้างลูกน้องถึง 15 คน

 

นายมานิตกล่าวว่า กระทั่งมาช่วงปี 2562 เริ่มมีการระบาดโควิด-19 ผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสาร บขส.น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2563 ลูกน้องเริ่มนำเงินมาส่งน้อยลงจนขาดทุนทุกวัน จึงตัดสินใจนำรถบัสจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถปั๊มน้ำมันใกล้บ้านทีละคันๆ จนในที่สุดก็ต้องจอดทั้ง 5 คัน เพราะวิ่งไปก็มีแต่ขาดทุน เนื่องจากการวิ่งรถต้องมีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงลูกน้อง ค่าซ่อมบำรุง และที่หนักสุดคือค่าน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นต่อเนื่อง

 

“ตอนแรกจะจอดไว้จนกว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมาวิ่งรถใหม่ แต่เพราะต้องจ่ายค่าสัมปทานการเดินรถทุกเดือน และสถานการณ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย ช่วงต้นปี 2564 จึงตัดสินใจขายรถบัสทั้ง 5 คันทิ้งไป และเลิกกิจการเดินรถอย่างถาวร เงินที่ได้จากการขายรถก็นำไปใช้หนี้สินต่างๆ จนหมด เหลือเพียงเล็กน้อย ได้ให้ภรรยานำไปต่อยอดทำธุรกิจขายขนมเข่ง แต่ก็ต้องมาประสบกับปัญหาราคาวัตถุดิบแพงอีก ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันพืช แป้ง ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม พากันขึ้นราคาพร้อมกันหมด ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไรจะแพงขึ้นอีก ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

 

“ไม่เพียงแต่ต้องตัดสินใจขายรถโดยสารที่เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว แต่ญาติๆ และเพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจเดียวกันก็มีหลายเจ้าทยอยปิดกิจการ ขายรถโดยสารทิ้งไปต่อเนื่อง เพราะเขาอยู่ไม่ได้ เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลแพงขึ้น สวนทางกับรายได้น้อยลง อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรถโดยสาร บขส.ด้วย” นายมานิตกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง