รีเซต

เดิมพันใหม่ "VinFast" ปักหมุดอินเดียสู้ศึก Tesla และ BYD

เดิมพันใหม่ "VinFast" ปักหมุดอินเดียสู้ศึก Tesla และ BYD
TNN ช่อง16
19 กันยายน 2568 ( 12:54 )
8

วินฟาสต์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของเวียดนาม เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าจากโรงงานผลิตในอินเดีย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเปิดตัวพร้อมกันถึง 2 รุ่น รุ่นแรกคือ VF6 รถ เอสยูวี ขนาดกะทัดรัด และเป็นรุ่นราคาถูกสุด เริ่มต้นที่ 1 ล้าน 6 แสน รูปี หรือราว ๆ 18,127 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนอีกรุ่นเป็น เอสยูวีขนาดกลาง รุ่น VF7 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านรูปี หรือราว 22,659 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

ราคาดังกล่าวถูกกว่าคู่แข่งอย่าง เทสลา (Tesla) และ บีวายดี (BYD) โดย เทสลา โมเดล วาย เปิดราคาในอินเดียเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา อยู่ที่กว่า 6 ล้านรูปี และ แอตโต้ 3 (ATTO 3) รถเอสยูวี ของ บีวายดี จากประเทศจีน มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 2 ล้าน 5 แสน รูปี แต่ก็ยังไม่ใช่รุ่นถูกที่สุดในตลาด โดยผู้นำตลาด EV อย่าง ทาทา มอเตอร์ส มีรุ่นราคาถูกสุด เริ่มต้นที่กว่า 7 แสน 9 หมื่น รูปี เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ราคาของวิสฟาสต์ทั้ง 2 รุ่น ถูกระบุว่า เป็นราคาช่วงเปิดตัว และจำกัดเฉพาะการจองซื้อ 1,500 คันแรก หรือจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน ของปีนี้

โดยการเปิดตัวรถทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากวินฟาสต์ ลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ มูลค่าลงทุนเบื้องต้น อยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งอยู่ที่เมือง Thoothukudi รัฐ Tamil Nadu ทางตอนใต้ของอินเดีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการไป เมื่อเดือนสิงหาคม ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 50,000 คันต่อปี

จากการลงทุนดังกล่าว ทำให้ วินฟาสต์ สามารถเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงถึงร้อยละ 70 ได้ ต่างจาก เทสลา และ บีวายดี ที่ยังเป็นการนำเข้ารถไปจำหน่าย และยังต้องเผชิญกับกำแพงภาษีในระดับสูง 

ซึ่งบลูมเบิร์ก รายงานด้วยว่า จากภาษีนำเข้าที่สูง ทำให้ราคารถรุ่นเริ่มต้นของ เทสลา สูงกว่าระดับราคาที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอินเดียมีความต้องการมากที่สุด โดยระดับราคาที่ตลาดต้องการ อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 2 ล้าน 2 แสน รูปี  และตามข้อมูลจาก JATO Dynamics บริษัทวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์ พบว่ายอดจองซื้อเบื้องต้นของเทสลา ในอินเดีย ยังไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าว ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของวินฟาสต์ และเป็นโรงงานแห่งแรกที่อยู่นอกประเทศเวียดนาม 

โดย ฝ่าม ซานห์ เชา (Pham Sanh Chau) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วินฟาสต์ เอเชีย กล่าวไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม บอกว่า บริษัทฯ ต้องการให้อินเดียเป็นศูนย์กลางในการรุกตลาดอื่นๆ ในเอเชียใต้ รวมถึงตะวันออกกลาง และแอฟริกา เขาบอกด้วยว่า ในขณะนี้ ได้รับคำสั่งซื้อจากหลายประเทศในภูมิภาคเหล่านั้นแล้ว

และการให้ข้อมูลล่าสุดกับ บลูมเบิร์ก เขาบอกอีกว่า วินฟาสต์ เลือกที่จะเปิดตัวรถยนต์ในกลุ่มระดับกลาง ถึงพรีเมียมเริ่มต้น ในตลาดอินเดีย และด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้สามารถแข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็น Mahindra & Mahindra Ltd. และ Tata Motors Ltd. รวมไปถึง Hyundai Motor India Ltd. และ Maruti Suzuki India Ltd. สะท้อนว่า วินฟาสต์ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก กำลังมุ่งเป้าไปที่การแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายในตลาดแห่งนี้ รวมถึง เทสลา และ บีวายดี

โดย ซีอีโอ วินฟาสต์ เอเชีย กล่าวกับ ดิ อีโคโนมิกส์ ไทม์ สื่อออนไลน์ของอินเดีย บอกว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้เล่นหลักในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของอินเดีย และพร้อมที่จะอัดฉีดเงินทุน และสร้างงานต่อไป ซึ่งตามแผนการลงทุนในอินเดียจะใช้เม็ดเงินมูลค่ารวม 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะทยอยลงทุน และระยะถัดไปจะขยายกำลังการผลิตเป็น 150,000 คันต่อปี 

อีกทั้ง มีแผนขยายการลงทุนออกไปนอกเขตของรัฐ Tamil Nadu ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับหลายรัฐในอินเดีย โดยจะเป็นการลงทุนทั้งในส่วนของ วินฟาสต์ และโครงการ สมาร์ต ซิตี้ ซึ่งผู้บริหาร วิสฟาสต์ บอกว่า การเปิดตัวรถยนต์ จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ วินกรุ๊ป (VinGroup) ในอินเดีย เท่านั้น โดย วินกรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจรายใหญ่สุดในเวียดนามที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การผลิตรถยนต์ การค้าปลีก และการดูแลสุขภาพ ดังนั้น ที่อินเดีย ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่จะนำทั้งระบบนิเวศมาด้วย

แต่สำหรับแผนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เบื้องต้น วินฟาสต์ จะให้บริการชาร์จไฟฟรี 3 ปี แก่ลูกค้าในอินเดีย ผ่าน V-Green ซึ่งเป็นธุรกิจชาร์จไฟของ วินกรุ๊ป โดยเตรียมจะเปิดตัวในอินเดีย พร้อมแผนการสร้างสถานีชาร์จไฟ 15,000 แห่งทั่วประเทศภายในหนึ่งปี ส่วนโชว์รูม เปิดตัวแห่งแรกไปเมื่อเดือนกรกฎาคม และภายในเดือนธันวาคมปีนี้ วางแผนจะขยายตัวแทนจำนวน 35 แห่ง ใน 27 เมือง

ทั้งนี้ สำหรับ วินฟาสต์ ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก เป็นจำนวน 97,399 คัน ส่วนปี 2568 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ราว 200,000 คัน ซึ่งครึ่งปีแรกมียอดขายแล้วกว่า 72,100 คัน และส่วนใหญ่มาจากตลาดในเวียดนาม ส่วนที่ อินเดีย เป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

แต่สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศแห่งนี้ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ที่มีแนวโน้มกำลังเติบโต เห็นได้จากข้อมูลของ สหพันธ์สมาคมผู้จำหน่ายรถยนต์อินเดีย (FADA) รายงานยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไฟฟ้า ในเดือนกรกฎาคม พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 93 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และนำโดยเจ้าตลาดอย่าง ทาทา มอเตอร์ส

สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ CareEdge ที่มองว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (ที่เป็นรถ 4 ล้อ) กำลังเข้าสู่ช่วงการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งนโยบายภาครัฐและการลงทุนจากภาคเอกชน จากปัจจุบัน กลุ่มอีวี 4 ล้อยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับ 2 ล้อ และ 3 ล้อ และในตลาดรถ อีวี 4 ล้อนั้น ทาทา มอเตอร์ส เป็นผู้นำ โดยมียอดขายจำนวน 61,496 คันในปี 2024 และ 60,100 คันในปี 2023

โดย อินเดีย ตั้งเป้าที่จะบรรลุส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึงร้อยละ 30 ภายในปี 2030 จากปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามีจำนวน 18.78 ล้านคัน และมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 7.6 ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด นั่นทำให้ อินเดียยังจะเป็นต้องเร่งดำเนินการอย่างมากเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายดังกล่าวในอีก 5 ปีข้างหน้า 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง