จังหวะนี้แนะลงทุนหุ้นโลก SETไปต่อปี65ดัชนี1,850จุด
ทันหุ้น - บลจ.กสิกรไทย มองภาพลงทุนปี 65 หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ และชนะเงินเฟ้อ พร้อมกระจายลงทุนทั่วโลก ไม่เจาะโฟกัสที่ใดเป็นการเฉพาะ ทั้งในตลาดเกิดใหม่ เน้นเอเชีย และตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างยุโรป และสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ไปต่อด้วยแรงหนุนภาคท่องเที่ยวและการส่งออก คาดดัชนีปีหน้า แตะ 1,850 จุด
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนภายใต้เงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้นจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว แต่เนื่องจากความผันผวนยังคงมีอยู่ในหลายปัจจัย ทำให้แผนลงทุนในปี 2565 แนะการลงทุนแบบกระจาย ในหุ้นของทุกภูมิภาค ทั้งเอเชีย ตลาดเกิดใหม่ (EM) ตลาดที่พัฒนาแล้ว (DM) ยุโรป และสหรัฐ
ลงหุ้นโกลบอล
“ในปีหน้าเราแนะนำกระจายการลงทุน ไม่ได้โฟกัสไปที่ภูมิภาคใดเป็นหลัก เพราะแต่ละพื้นที่มีปัจจัยหนุน และอาจมีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงเข้ามารบกวนได้ ซึ่งในส่วนของเอเชีย เราค่อนข้างชอบ อินเดีย กับขนาดเศรษฐกิจ และจำนวนประชากรที่พอๆ กับจีน ในส่วนของจีนเราก็ยังชอบ เพราะด้วยพื้นฐานแล้วยังแข็งแกร่ง และการปรับฐานลงมาทำให้ P/Eถูกอย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตานโยบายของภาครัฐจีนว่าในปีหน้าจะผ่อนปรนกฎเกณฑ์ที่มีผลทำให้ตลาดตื่นตระหนกหรือไม่”
ในส่วนของภูมิภาคยุโรปน่าสนใจตรงที่เศรษฐกิจในปี 2565 ยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งยังไม่ถึงจุดพีคแบบสหรัฐ ซึ่ง นายนาวิน ให้มุมมองต่อไปว่า ตลาดสหรัฐ หุ้นสหรัฐขึ้นมาทำนิวไฮ (New High) ต่อเนื่องในปีนี้ บวกการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็น V-Shape ซึ่ง ณ จุดนี้ ถือว่าขึ้นมาจุดสูงสุดแล้วการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะถัดไปจึงลดความร้อนแรงลง ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือ ความเสี่ยงของการปรับฐาน จากเงินเฟ้อที่ขึ้นสูง ดันราคาต้นทุนผู้ประกอบการขึ้น ซึ่งหากว่าผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐไม่ได้มีกำไรที่เติบโตเหมือนราคาหุ้น (P/E) ก็เป็นจุดที่จะทำให้หุ้นสหรัฐปรับฐานได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวิเคราะห์ไม่อาจทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ บลจ.กสิกรไทย ก็ยังคงแนะนำให้ถือ (Nature) ในหุ้นสหรัฐอยู่ โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง แนะนำลงทุนในหุ้นตลาดที่พัฒนาแล้ว (DM) ในสัดส่วน 24% ตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่ 31% ในตราสารหนี้ไทย 34% ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3% กองทุนอสังหา 2% และในกองทุนทองคำ 5%
ส่วนที่รับความเสี่ยงได้มาก บลจ.กสิกรไทย แนะนำลงทุนในหุ้นตลาดที่พัฒนาแล้ว (DM) ในสัดส่วน 69% ตลาดเกิดใหม่ (EM) ที่ 16% ในตราสารหนี้ไทย 6% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4% ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3% กองทุนอสังหา 2% และในกองทุนทองคำ 1%
ปี 65 ดัชนี 1,850 จุด
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต CFA, รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ปัจจุบันเม็ดเงินฟันด์โฟล์วต่างชาติขายสุทธิแล้วราว 6 หมื่นล้านบาท และหากนับตั้งแต่ ปี 2535 ต่างชาติขายสุทธิราวๆ เกือบ 8 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปจากเดิม จากธุรกิจแบบดั่งเดิม (Traditional) มาเป็นธุรกิจแบบใหม่ (New Economy) ที่มีนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ในขณะที่อุตสาหกรรมในไทยยังไม่มีธุรกิจที่เป็นNew Economy อย่างชัดเจน
“อย่างไรก็ตาม มุมมองของตลาดหุ้นไทยยังเติบโตต่อไปจากปัจจัยการท่องเที่ยว และการส่งออกที่กลับมาฟื้นตัวได้หลังเปิดเมือง โดยในช่วงที่เหลือของปี 2564 เราคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,650 จุด และในปี 2565 จะอยู่ที่ 1,850 จุด ซึ่งหากไม่มีการระบาดของโควิดในระลอก 4 เศรษฐกิจไทยก็จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนมุมมองการล็อกดาวน์หากโควิดกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง คาดว่าภาครัฐคงไม่กลับมาทำในรูปแบบดังกล่าว เนื่องจากการกระจายวัคซีนที่ทำได้ดี รวมถึงการพัฒนาตัวยารักษาจะทำให้อาการป่วยของโรคไม่รุนแรง”
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย แนะนำว่า นักลงทุนที่ต้องพักเงินตราสารหนี้แบบสั้นๆ แบบไม่เกิน 1 อาทิตย์ แนะนำว่าลงกองทุนมันนี่มาร์เก็ต (Money Market Fund) ดีกว่า เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุไม่เกิน 1 ปี) ก็มียิลด์ (Yield) ที่ผันผวนเช่นกัน ดังนั้นหากจะพักเงินในสินทรัพย์กลุ่มนี้อาจต้องถือนานขึ้นในระยะเวลา 1 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าต้องการเร็วกว่านั้น แนะนำเป็นมันนี่มาร์เก็ตฟันด์