โชคชะตาที่ไม่รู้อนาคตของครอบครัวอัฟกานิสถาน หลังไฟผลาญค่ายผู้อพยพ 1.3 หมื่นคนในกรีซ
โชคชะตาที่ไม่รู้อนาคตของครอบครัวอัฟกานิสถาน หลังไฟผลาญค่ายผู้อพยพ 1.3 หมื่นคนในกรีซ
ตาลิบชาห์ ฮอสเซนี อุ้มลูกสาวสามคน พยุงภรรยาที่กำลังป่วยอยู่ แล้วออกตัววิ่ง
ไฟไหม้กำลังลุกลามเข้ามาใกล้เต็นท์ที่ผู้อพยพอาศัยอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด
ก่อนหน้านี้ ศิลปินวัย 37 ปีจากอัฟกานิสถานผู้นี้ นอนไม่หลับ ค่อยเฝ้าระวังเหตุเพลิงไหม้ไกล ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงอะไร
แต่แล้วไม่นานพวกเขาก็เริ่มตื่นตระหนก "ลูกสาวคนเล็กผมร้องไห้ และถามผมว่า 'พ่อคะ พวกเราจะตายไหม' "
เพลิงไหม้ขนาดใหญ่ลุกลามทำลายค่ายผู้อพยพมอร์เรียบนเกาะเลสบอสของกรีซจนทุกอย่างกลายเป็นแค่เศษเถ้าถ่านในช่วงเวลาเพียงแค่ข้ามคืนเมื่อวันที่ 8 ก.ย.
สิ้นหวัง
ครอบครัวฮอสเซนี วิ่งหนีไฟผ่านพุ่มไม้ ข้ามรั้ว และวิ่งต่อไปราวชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงที่ปลอดภัย คืนนั้น พวกเขานอนในที่จอดรถกลางแจ้งพร้อมกับผู้อพยพอีกนับหลายพันคน
"ลูกสาวถามผมว่า "พ่อ พวกเราหนาว ทำไมเรามาอยู่ที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา" ผมไม่มีคำตอบเลย มันยากลำบากมาก ๆ"
เขาเล่าว่าเขา "โกงความตาย" มาตั้งแต่อพยพออกจากอัฟกานิสถานเมื่อปี 2019 แล้ว เพื่อปกป้องครอบครัวจากกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน
เขานั่งนับคืนนับวันตั้งแต่เดินทางมาถึงค่ายผู้อพยพมอร์เรีย เป็นเวลา 9 เดือน กับ 5 วันมาแล้ว
จริง ๆ ค่ายนี้รองรับคนได้แค่ 3,000 คน แต่กลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้อพยพมากกว่า 13,000 คนแล้ว จากทั้งหมด 70 ประเทศ แต่ส่วนใหญ่มากจากอัฟกานิสถาน
บาดแผลทางจิตใจ
ฮอสเซนี เล่าว่า ชีวิตที่ค่ายผู้อพยพมอร์เรียเป็น "ประสบการณ์ที่แย่ที่สุดในชีวิต" เขาต้องเห็นหญิงมีครรภ์เสียชีวิตเพราะถูกแทงด้วยมีด และก็มีเหตุลักขโมยเกิดขึ้นทั่วไป
"ตอนกลางคืนผมนอนไม่กลับ กลัวว่าคนจะเข้ามาในเต็นท์ มาทำร้ายผมหรือครอบครัวผม"
หลายเดือนแล้วที่เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์เล็ก ๆ กับลูกสาวสามคนและภรรยาที่มีปัญหาเรื่องไต
หลังจากทำเรื่องร้องขอไปหลายหน เดือนที่แล้วพวกเขาเพิ่งได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเต็นท์ที่ใหญ่ขึ้นกับอีกครอบครัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
หนทางสู่เลสบอส
ครอบครัวฮอสเซนี เคยอยู่ดีกินดีในอัฟกานิสถานแม้ว่าจะประเทศจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรง
ฮอสเซนี เป็นสมาชิกคนสำคัญของคณะละครแห่งชาติฟาร์ยับ (Faryab National Theatre) ทางเหนือของประเทศ เขาเองก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองบ้านเกิด เคยออกทีวีเป็นนักเหน็บแนมถากถางใส่กลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาล และพูดถึงประเด็นการเมืองและสังคมด้วย
ปี 2009 เขาแต่งงานและมีลูกสาว 3 คน ฟารีมา อายุ 9 ขวบ ปาริสา อายุ 7 ขวบ และมาร์จัน อายุ 4 ขวบ
ภรรยาเขาทำงานในร้านเสริมสวย ชีวิตทุกอย่างราบรื่นจนกระทั่งเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มตาลีบัน และกล่าวชื่นชมกองทัพอัฟกานิสถานในรายการทีวีหนึ่งของเขา
เขาเริ่มได้รับคำข่มขู่จากครูสอนศาสนาในพื้นที่และจากกลุ่มตาลีบันเอง
"ผมรักประเทศของผม รักที่จะทำงานให้กับรัฐบาล แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยเหลือผมเวลาผมเดือดร้อน"
เขาเสียพ่อ พี่ชาย 2 คน และหลานชาย ไปเพราะความขัดแย้งรุนแรงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาจึงคิดว่าถึงเวลาที่จะไปจากอัฟกานิสถานแล้ว
ครอบครัวเขาเดินทางผ่านหลายประเทศกว่าจะมาถึงกรีซ จนฟารีมา ลูกสาวคนโตของเขา เริ่มเรียนรู้หลายภาษา
เขาภูมิใจในตัวลูกสาวแต่ก็ห่วงที่เธอต้องออกจากโรงเรียนชั้นประถมกลางคันตอนออกจากอัฟกานิสถาน
"ลูกชอบพูดว่า "พ่อ หนูไม่ชอบพ่อเพราะพ่อพรากโรงเรียนไปจากหนู หนูไม่มีความสุขเลย" มันยากมากสำหรับพ่อที่ต้องทำให้ลูกผิดหวัง ผมอธิบายไม่ถูกเลยว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน"
แม้ว่าทางการกรีซพยายามจะช่วยคนไร้บ้าน แต่สถานการณ์ก็ยากลำบากอยู่ดี เมื่อวันก่อน ฮอสเซนีเห็นคนขับรถตู้มาแจกจ่ายอาหาร แต่มีคนต้องการอาหารมากมายเกินกว่ารถตู้คันนั้นจะช่วยไหว
"ผู้คนไม่มีสิ่งของอะไรอยู่กับตัวเลย ตอนกลางคืนหนาวมาก ไม่มีอะไรให้ห่มให้ความอบอุ่นเลย"
"พอตอนกลางวันก็แดดแรงมากแต่ไม่มีร่มเงา พวกเขาพยายามหากระดาษหรือผ้าสักชิ้นที่จะช่วยกันแดด"
"เด็ก ๆ ร้องไห้ และทุกครอบครัวตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย พวกเขากลัวกันมาก"
ฮอสเซนี บอกว่า เขาเจ็บปวดมากจนเริ่มสงสัยแล้วว่าที่ออกจากอัฟกานิสถานมานั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า
"ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีหมอ ผมมีปัญหาสุขภาพจิต และไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร"
"ผมไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว ให้พวกเขาเนรเทศเราซะดีกว่าหากว่าไม่สามารถให้สถานะผู้อพยพกับเราได้"