เตือนรับมือ"น้ำมันแพง"เหตุปิด"ช่องแคบฮอร์มุช"

ดร.พลายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน โพสต์ ข้อความเตือนผลกระทบไทย หลังอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ตอนหนึ่งระบุว่า ไทยต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติในสัดส่วนมากถึงร้อยละ 46 ของการใช้พลังงานทุกชนิดรวมกัน
และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งแหล่งสำคัญคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และโอมาน ซึ่งเป็นน้ำมันที่ขนส่งมาทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากตะวันออกกลาง ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ ไทยนำเข้า LNG จากตะวันออกกลางเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด โดยเกือบทั้งหมดต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ สรุปได้ว่า "อย่างน้อยหนึ่งในสามของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยคือ น้ำมัน และก๊าซที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ"
ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ไทยขาดพลังงานไปเป็นจำนวนหนึ่งในสามของพลังงานทั้งหมด ที่จะขาดแคลนมากที่สุด คือ น้ำมันเพราะมีสัดส่วนที่ลดลงมากที่สุด
เชื่อกันว่าการปิดช่องแคบนี้ จะก่อให้เกิดราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก วงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลอย่างแน่นอน และอาจขึ้นไปสูงถึง 200 ดอลลาร์ก็เป็นได้
หากการปิดช่องแคบมีผลเป็นเวลาไม่นานเกินหนึ่งเดือน ไทยก็ยังคงมีน้ำมันเหลือใช้อย่างเพียงพอ โดยอาศัยสต๊อกน้ำมันสำรอง อีกทั้งยังสามารถซื้อน้ำมันจากแหล่งผลิตในประเทศอื่นๆ แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมาก และจะทำให้ต้นทุนน้ำมันนำเข้าสูงขึ้นมากเช่นกัน
หากรัฐบาลไม่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกของน้ำมันก็จะสูงขึ้น จะทำให้ค่าขนส่งและราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้นด้วยจนเป็นปัญหาเงินเฟ้อ หากรัฐบาลเลือกใช้การอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะทำให้กองทุนฯ ติดลบเพิ่มขึ้น จากที่ติดลบอยู่ 36,000 ล้านบาท
ดังนั้น สถานการณ์การสู้รบและความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจึงเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และไทยคงต้องเตรียมเผชิญกับความยากลำบากด้านพลังงาน และเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
