'สหราชอาณาจักร' เตรียมยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางคุมโควิด-19 ที่เหลือทั้งหมด
ลอนดอน, 15 มี.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันจันทร์ (14 มี.ค.) กรันต์ แชปส์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมสหราชอาณาจักร ประกาศว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรจะยกเลิกข้อจำกัดควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศส่วนที่เหลือทั้งหมด ก่อนช่วงหยุดเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งตรงกับวันที่ 17 เม.ย. ในปีนี้
สหราชอาณาจักรจะยกเลิกข้อจำกัดควบคุมโรคโควิด-19 ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการส่งแบบฟอร์มระบุตำแหน่งผู้โดยสารขาเข้าประเทศ และการตรวจโรคทั้งหมดสำหรับผู้โดยสารที่ยังไม่ถูกพิจารณาว่าได้รับวัคซีน ตั้งแต่ 04.00 น. ของวันศุกร์ (18 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ดังนั้นนักเดินทางจะสามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรโดยปราศจากข้อจำกัดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่อุบัติขึ้นมา
ปัจจุบันสหราชอาณาจักรอนุญาตเฉพาะนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสเท่านั้น ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องตรวจโรค แต่จำเป็นต้องกรอกแบบฟอร์มระบุตำแหน่งผู้โดยสารขาเข้าภายใน 72 ชั่วโมงของการเดินทาง
คาเรน ดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมผู้ประกอบการท่าอากาศยาน แสดงความยินดีกับประกาศข้างต้นว่าการกลับมาเดินทางแบบไร้ข้อจำกัดถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้โดยสาร และช่วยให้อุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
อย่างไรก็ดี การประมาณการล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) ชี้ว่าทั้งสี่ภูมิภาคของสหราชอาณาจักรตรวจพบการติดเชื้อไวรัสฯ เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม โดยสกอตแลนด์ตรวจพบการติดเชื้อสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว
ทิม สเปกเตอร์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาพันธุศาสตร์แห่งวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน (Kings College London) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวสกายนิวส์ (Sky News) ว่าน่าผิดหวังที่กรันต์ แชปส์ บอกว่าสถานการณ์ปลอดภัย แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ ตัวเลขจากทางการสหราชอาณาจักรเมื่อวันจันทร์ (14 มี.ค.) ระบุการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 444,201 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 726 ราย ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมและผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่ที่ 19,700,952 และ 162,873 ราย
รายงานระบุว่าประชาชนอายุ 12 ปีขึ้นไปในสหราชอาณาจักรมากกว่าร้อยละ 91 ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดสแรก มากกว่าร้อยละ 85 ได้ฉีดวัคซีนครบโดส และมากกว่าร้อยละ 67 ได้ฉีดวัคซีนโดสกระตุ้นแล้ว