ชงศบค.เห็นชอบ เปิดประเทศระยะ 2 เข้าไทยไม่ต้องกักตัว ขยายช่องทางเรือ-บก
คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบแผนเปิดประเทศระยะ 2 เริ่ม 1 ธ.ค. เข้าไทยไม่ต้องกักตัว เปิดช่องทางเรือ-บกเพิ่ม แต่ต้องฉีดวัคซีนครบ มีผลตรวจ RT-PCR
เมื่อวันที่ 25 พ.ย.64 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 3 เรื่อง คือ 1.แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรตามแผนการเปิดประเทศระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป
จะเริ่มรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว หากมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนครบโดส มีการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ตามเงื่อนไข ซึ่งปัจจุบันมี 63 ประเทศในระบบ Test & Go ซึ่ง สธ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามสถานการณ์และปรับมาตรการเป็นระยะ ตรงไหนที่ผ่อนคลายก้จะผ่อนคลาย ตรงไหนที่ขันให้แน่นขึ้นก็จะขัน เพื่อความปลอดภัยของคนในประเทศ ประกอบธุรกรรมต่างๆ ได้
2.ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนโควิด 19 แบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-วัคซีนพาสปอร์ต ซึ่งเก็บอัตรา 50 บาทก็ยกเว้นให้ โดยให้บริการออกอี-วัคซีนพาสปอร์ตโควิด 19 มีหน่วยบริการรวม 120 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ กทม.และนนทบุรี 3 แห่ง คือ รพ.บางรัก สถาบันบำราศนราดูร และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ระดับเขต 7 แห่ง คือ สำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) เชียงใหม่ ราชบุรี สระบุรี ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี และสงลา และระดับจังหวัดอีก 110 แห่ง
3.แผนการจัดหายารักษาโควิด 19 ซึ่งวันนี้ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์แล้ว 5 หมื่นคอร์ส และขอความเห็นชอบจัดซื้อยาแพกซ์โลวิดของไฟเซอร์จำนวนเท่ากันคือ 5 หมื่นคอร์ส จำนวน 2 ล้านเม็ด ช่วยขยายฐานการเข้าถึงยา และศึกษาวิจัยทางคลินิกโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวร่วมกลุ่ม 607 หวังว่ายาเหล่านี้จะมาทำให้ประชาชนหากเจ็บป่วยก็มีทางเลือก มีความมั่นใจที่แพทย์จะดูแลพวกเขา รักษาด้วยยาที่มีสรรพคุณที่ดี
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เรื่องการเปิดประเทศระยะที่ 2 จะเสนอเข้า ศบค.วันที่ 26 พ.ย.นี้ โดยหลักๆ คือจะเปิดช่องทางเข้าประเทศมากขึ้น สะดวกมากขึ้น เพราะดูข้อมูลแล้วว่า อัตราการติดเชื้อในคนที่เข้ามาในประเทศระยะแรกค่อนข้างน้อย
อย่างระบบ Test & Go เข้ามาติดเชื้อ 0.08% เป็นไปตามแผนที่นายกฯ กำหนดไว้ ดังนั้น 1.จะเสนอเปิดช่องทางเข้าประเทศมากขึ้น จากเดิมเฉพาะทางอากาศ ก็จะเปิดเพิ่มทางเรือและทางบก ซึ่งไม่ใช่ด่านบกทั้งหมดทั่วประเทศ แต่จะเลือกเฉพาะด่านที่มีความปลอดภัย เพื่อนำร่องก่อน และ 2.มีข้อจำกัดน้อยลง แต่ต้องเข้มข้นเรื่องการฉีดวัคซีน และการตรวจแล็บก่อนเข้าประเทศ
เมื่อถามว่า จะเพิ่มหรือลดรายชื่อประเทศหรือไม่ เพราะยุโรปติดเชื้อมาก นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนรายชื่อประเทศที่จะเข้ามานั้น ที่ประชุม ศบค.มอบอำนาจให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประกาศ ถ้าต้องประกาศเพิ่ม กระทรวงการต่างประเทศก็จะประกาศไม่ต้องเข้าศบค.ใหม่ แนวโน้มไม่น่าจะลดประเทศที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
เพราะประเทศเป็นเพียงต้นทาง ไม่สำคัญเท่าคนที่เข้ามา คือต้องฉีดวัคซีนครบทุกคน ยกเว้นเด็กที่ฉีดไม่ได้ ต้องตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และเข้ามาแล้วก็ตรวจ RT-PCR ซ้ำ แต่อาจจะปรับเป็นการตรวจ ATK ถ้าศบค.เห็นชอบ
แต่การเปลี่ยนวิธีตรวจต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าประกาศวันนี้แล้วพรุ่งนี้เปลี่ยนเลย ต้องมีเวลาเตรียมตัวว่าใครเป็นคนตรวจ รอผลตรวจจะรอที่ไหน ใครรับผิดชอบ เพราะแต่ละวันระบบ Test & Go มีคนเข้ามา 5 พันกว่าราย เชื่อว่าถ้าเราเปิดมากกว่านี้ จะมีคนเข้ามามากกว่านี้หลายหมื่น ก็ต้องวางระบบให้ดีก่อน แล้วค่อยดำเนินการ
เมื่อถามว่า เราตรวจเจอคนเดินทางเข้ามาในอัตราต่ำ แต่พอเข้ามาแล้วมีอัตราการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน นพ.โอภาส กล่าวว่า ถือว่าไม่เยอะ เมื่อเทียบกับการติดเชื้อในประเทศไทย จากข้อมูลที่รวบรวมจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ก็พบว่าไม่ได้ทำให้เกิดการระบาดในภูเก็ตเพิ่มขึ้น ย้ำว่าเข้ามาแล้วจะไม่ติดเชื้อ แต่การติดเชื้อในระดับต่ำที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับการติดเชื้อในประเทศ
ส่วนมาตรการ COVID Free Setting ก็อาจเจอการรั่วติดเชื้อขึ้นได้ แต่จะให้คุม 100% ไม่ต้องทำอะไร หรือจะผ่อนคลาย แต่รั่วมาแล้วมีมาตรการเสริม เช่น ฉีดวัคซีน มียา การควบคุมโรค คนก็จะใช้ชีวิตตามปกติ เป็นการสมดุลการควบคุมโรคและใช้ชีวิต ส่วนจะเปิดกิจการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างผับบาร์ก็จะเป็นไปตามระยะ ศบค.จะพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
ภาพบางส่วนจาก กระทรวงสาธารณสุข