สังเกตอาการ “ปวดหัวแบบคลัสเตอร์” ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ข่าววันนี้ อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ นับเป็นภาวะปวดหัวรุนแรง ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบปวดข้างเดียว หรืออาจปวดบริเวณรอบดวงตา ในหนึ่งวันอาจเกิดขึ้นได้หลายครั้ง โดยหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า อาการปวดศีรษะนั้นมีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคืออาการ “ปวดหัวแบบคลัสเตอร์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า cluster headache เนื่องจากพบได้ไม่บ่อยเท่าปวดศีรษะไมเกรน ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน
โรคนี้พบบ่อยในผู้ชาย ที่อายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป แต่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถพบได้ และในระยะหลังก็พบในผู้หญิงไม่น้อยเช่นกัน ลักษณะการปวดมักจะรุนแรงที่รอบเบ้าตา หรือขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร่วมกับมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ตาแดง น้ำตาไหล เปลือกตาบวม คัดจมูกข้างเดียวกับที่ปวด โดยมีระยะเวลาปวด 15 นาทีจนถึง 3 ชั่วโมง ลักษณะเด่นที่ช่วยในการวินิจฉัย คือ มักมีอาการปวดเวลาเดิมๆ ของวัน
นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ปัจจุบันมีข้อมูลว่าโรคนี้ เกิดจากการทำงานผิดปกติของสมอง “ส่วนไฮโปทาลามัส” การวินิจฉัยโรคแพทย์จะทำการซักประวัติ ร่วมกับการตรวจร่างกาย และส่งตรวจเอ็กซเรย์ระบบประสาท เพื่อแยกจากโรคที่อาจมีอาการคล้ายกัน
จากนั้นแพทย์จะให้การรักษา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. การรักษาระหว่างปวด เช่น ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เร็ว การให้ออกซิเจนทางหน้ากากครอบจมูก และ 2. การป้องกันหรือลดระยะเวลาที่ปวด เช่น การฉีดยารอบเส้นประสาท occipital และการใช้ยาอื่นๆ ที่จำเพาะต่อโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์
ทั้งนี้ เนื่องจากโรคปวดศีรษะมีหลายประเภท มีสาเหตุที่แตกต่างกันไป การซื้อยาแก้ปวดกินเอง อาจกระตุ้นให้เป็นมากขึ้น และเกิดอันตรายได้ ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดศีรษะจนผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
ที่มา: สถาบันประสาทวิทยา, กรมการแพทย์